ปุ๋ยระบบเกษตรอินทรีย์ : หลักการเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน

สาระน่ารู้เรื่องปุ๋ยแบบระบบเกษตรอินทรีย์

 

การใช้ปุ๋ยแบบระบบเกษตรอินทรีย์ 

 

การเพิ่มอินทรียวัตถุในดินควรทำ 3 วิธีร่วมกัน

1.ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก วิธีนี้สามารถกำหนดอัตราการใส่ได้ง่าย

2. ทำปุ๋ยพืชสด ปริมาณของชีวมวลที่ได้แต่ละครั้ง ขึ้นอยู่กับชนิดของพืชและอายุพืชปุ๋ยสด การไถกลบปุ๋ยพืชสดที่เนื้อเยื่อมีลิกนินน้อยและสลายง่าย จะปลดปล่อยธาตุอาหารได้เร็วแต่เพิ่มอินทรียวัตถุในดินน้อย

3. พรวนกลบซากพืช ปริมาณของชีวมวลที่พรวนกลบแต่ละครั้งป ขึ้นอยู่กับชนิดของพืชที่ปลูก ความมากน้อยของส่วนที่ตกค้างในแปลงหลังการเก็บเกี่ยว รวมทั้งปริมาณของวัชพืชในแปลงด้วย

 ปุ๋ยระบบเกษตรอินทรีย์--หลักการเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน4

การใส่ปุ๋ยอินทรีย์ในดินที่ปลูกพืชอินทรีย์มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุในดินให้สูงขึ้น หากปริมาณที่มีอยู่เดิมไม่สูงพอ โดยพยายามเพิ่มขึ้นประมาณปีละ 0.5 % จนได้ไม่น้อยกว่า 2.5 % แต่ถ้าสามารถเพิ่มจนถึง 30 % ได้ก็จะมีความเหมาะสมอย่างยิ่ง ในปีต่อไปควรชดเชยส่วนที่สลายไปในช่วงเวลาที่ผ่านมา ถ้ารักษาอินทรียวัตถุในดินระดับนี้ไว้ได้อย่างต่อเนื่อง นับว่าเป็นการปรับปรุดินที่มีศักยภาพสูงในการปลดปล่อยธาตุอาหารต่างๆอย่างพอเพียงกับความต้องการของพืชรากตื้นส่วนมาก ซึ่งต้องยืนยันด้วยผลการวิเคราะห์ระกับธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ในดิน อันประกอบไปด้วย ธาตุหลัก ธาตุรองและจุลธาตุ จึงมีความเชื่อมั่นว่าเพียงพออย่างแท้จริง ก่อนการเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน ควรประเมินระดับอินทรียวัตถุในดิน แล้วจึงกำหนดเป้าหมายธาตุอาหารพืชจากปุ๋ยอินทรีย์

 

รูปของธาตุอาหารพืชที่ปลดปล่อยจากปุ๋ยอินทรีย์

1.รูปของธาตุอาหารพืชที่ปลดปล่อยจากปุ๋ยอินทรีย์

 

พืชที่ปลูกในระบบเกษตรอินทรีย์หรือระบบการบำรุงดินแบบผสมผสาน (ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมกันกับปุ๋ยเคมี) ต้องได้รับธาตุอาหารเหมือนกัน ใน 2 ข้อ คือ พืชต้องได้รับธาตุอาหารครบทุกธาตุในปริมาณที่เพียงพอและสมดุลกัน ธาตุอาหารในรูปที่เป็นประโยชน์ไม่ว่าจะปลดปล่อยออกมาจากการสลายของแร่ต่างๆอินทรียวัตถุเดิมในดินหรือปุ๋ยอินทรีย์ที่ใส่ ตลอดจนมาจากการละลายและแตกตัวของปุ๋ยเคมีก็ตาม จะอยู่ในรูปแคตไอออนหรือแอนไอออนและพืชก็ดูดไปใช้ในรูปไอออน อย่างไรก็ตามแม้ว่ารากและใบจะสามารถดูดอินทรียสารโมเลกุลไปใช้เป็นสารอาหารหรือถูกแปรสภาพเป็นแอมโมเนียมไอออน จึงมีกรดอะมิโนเหลืออยู่ในดินให้พืชดูดซึมไปใช้โดยตรงเพียงเล็กน้อย

2.ปริมาณธาตุอาหารจากการใส่ปุ๋ยอินทรีย์แต่ละชนิด

สำหรับอินทรียวัตถุในดินมี 3 ส่วน คือ อินทรียวัตถุเดิมที่มีในดินก่อปลูก อินทรียวัตถุที่มาจากการสลายของซากพืชในฤดูร้อนและปุ๋ยอินทรียที่ใส่ในการปลูกพืช ปริมาณธาตุอาหารในปุ๋ยอินทรีย์แต่ละชนิด มีดังนี้

 ปุ๋ยระบบเกษตรอินทรีย์--หลักการเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน2

– ปุ๋ยคอก เนื่องจากปุ๋ยคอกแต่ละแหล่ง มีความเข้มข้นของธาตุอาหารแต่ละธาตุแตกต่างกันมาก หากทราบข้อมูลที่แท้จริงแท้จริง ควรนำไปวิเคราะห์ทางเคมีเพื่อให้ทราบความเข้มข้นของธาตุหลัก ธาตุรองและจุลธาตุในปุ๋ยคอก สำหรับปุ๋ยคอกที่ใช้ในระบบเกษตรอินทรีย์ ถ้าเป็นมูลสัตว์ปีกต้องได้มาจากการเลี้ยงแบบธรรมชาติ ไม่มีการทรมานสัตว์ อาหารที่ใช้เลี้ยงต้องไม่ได้มาจากพืชที่มีการดัดแปลงพันธุกรรมและไม่มีการใช้สารเร่งโต ส่วนอุจจาระและปัสสาวะของคนที่หมักแล้ว ให้ใช้เฉพาะพืชที่ไม่ได้เป็นอาหารของมนุษย์ เช่น ฝ้าย เนื่องจากปุ๋ยคอกมีองค์ประกอบที่แตกต่างกันมาก ความเป็นประโยชน์ของไนโตรเจนก็ย่อมต่างกันไปด้วย ไนโตรเจนในปุ๋ยคอกสดจะเป็นประโยชน์ 1-50 % ส่วนในปุ๋ยคอกที่สลายดีแล้ว ไนโตรเจนจะปลดปล่อยออกมาเป็นประโยชน์ 10-25 % การใส่ปุ๋ยคอกในดินด้วยอัตราที่เหมาะสมเป็นเวลาต่อเนื่องกันหลายปีจะช่วยเพิ่มอินทรีย์คาร์บอนและไนโตรเจน เพิ่มมินเนอราลไลเซชันขงไรโตรเจน เพิ่มความพรุนและลดความหนาแน่นรวมของดินและช่วยเพิ่มกิจกรรมของจุลินทรีย์ในดิน เกษตรกรที่ปลูกพืชด้วยระบบอินทรีย์ในสหรัฐอเมริกา ส่วนมากใช้ปุ๋ยคอก 0.48-1.76 ตัน/ไร่ และใส่เศษพืชที่เหลือจากการเก็บเกี่ยว 0.48-1.6 ตัน/ไร่

 ปุ๋ยระบบเกษตรอินทรีย์--หลักการเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน1

– ปุ๋ยหมัก ที่ผลิตได้จากซากพืชต่างชนิดและด้วยวิธีการผลิตที่ต่างกัน จะมีความเข้มข้นและธาตุอาหารแต่ละชนิดแตกต่างกันมากเช่นกัน จึงควรนำไปวิเคราะห์ทางเคมี เพื่อจะได้ทราบความเข้มข้นของธาตุหลัก ธาตุรองและจุลธาตุในปุ๋ยหมัก ปุ๋ยหมักและอินทรียสารอื่นๆที่อนุญาตให้ใช้ได้มีดังนี้ ปุ๋ยหมักที่ได้จากการหมักเศษซากพืช ฟางข้าว ขี้เลื่อย เปลือกไม้ เศษไม้และวัสดุเหลือใช้จากการเกษตรอื่นๆกับปุ๋ยคอก ถ้าจะมีการเติมอินทรียสารที่ให้ธาตุอาหารลงไปด้วย เช่น หินฟอสฟอรัส จะต้องเป็นสารที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ ของเหลือจากกระบวนการในโรงฆ่าสัตว์ โรงงานอุตสาหกรรม เช่น โรงงานน้ำตาล โรงงานมันสำปะหลัง โรงงานน้ำปลา

โดยกระบวนการเหล่านี้ต้องไม่เติมสารสังเคราะห์และต้องได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการและของเหลวจากระบบน้ำโสโครกของโรงงานที่ผ่านกระบวนการหมักโดยไม่เติมสารสังเคราะห์และไม่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม ต้องมีหลักฐานเพื่อยืนยันว่าไม่มีการปนเปื้อนของโลหะหนักและสารต้องห้ามตามหลักเกณฑ์ของเกษตรอินทรีย์ ส่วนปุ๋ยอินทรีย์ที่ห้ามใช้ คือ ปุ๋ยเทศบาลหรือปุ๋ยหมักจากในเมืองและกากตะกอนโสโครก 2 อย่างนี้ห้ามใช้กับพืชผัก สำหรับปุ๋ยอินทรีย์ชนิดน้ำที่ผลิตจากพืชและสัตว์แบะผลิตภัณฑ์จากพืชและสัตว์ที่ไม่มีการปนเปื้อนของสารต้องห้ามอนุญาตให้ใช้ แต่ปุ๋ยอินทรีย์ชนิดน้ำมีคงวามเข้มข้นของธาตุอาหารในแต่ละธาตุที่ต่ำมาก มีความแปรปรวนสูง เนื่องจากใช้วัตถุดิบและวิธีการหมักที่แตกต่างกัน เมื่อนำมาเจือจางประมาณ 500 เท่าแล้วทำการฉีดพ่นทางใบ พืชจะได้รับธาตุอาหารแต่ละธาตุในปริมาณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงไม่ถือว่าเป็นแหล่งสำคัญของธาตุอาหารสำหรับพืช

ปุ๋ยระบบเกษตรอินทรีย์--หลักการเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน3

– ปุ๋ยพืชสด ซึ่งใช้พืชในตระกูลถั่ว มีความสำคัญมากเพราะช่วยเพิ่มไนโตรเจนให้แก่ดิน ประกอบกับพืชปุ๋ยสดมีประสิทธิภาพในการดูดธาตุอาหารจากดิน มาสะสมไว้ในต้นและราก แล้วปลดปล่อยให้พืชหลักภายในการไถกลบ

 

ธาตุอาหารที่ได้จากจากกิจกรรมของปุ๋ยชีวภาพ ในส่วนของปุ๋ยชีวภาพที่ใช้กันอย่างกว้างขวางคือ เชื้อไรโซเบียมสำหรับคลุกเมล็ดถั่วก่อนปลูก การไถกลบซากถั่วภายหลังจากการเก็บเกี่ยวผลผลิต จะช่วยเพิ่มไนโตรเจนและอินทรียสารแก่ดินอีกด้วย

 

สาระน่ารู้เรื่องปุ๋ยแบบระบบเกษตรอินทรีย์

ปุ๋ยระบบเกษตรอินทรีย์ : หลักการเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน

ปุ๋ยระบบเกษตรอินทรีย์ : หลักการเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน