ปุ๋ยระบบเกษตรอินทรีย์ : การคืนเศษพืชที่เหลือจากการเก็บเกี่ยวลงสู่ดิน
สาระน่ารู้เรื่องปุ๋ยแบบระบบเกษตรอินทรีย์
การคืนเศษพืชที่เหลือจากการเก็บเกี่ยวลงสู่ดินนั้น เป็นการเพิ่มธาตุอาหารลงไปในดิน โดยการพรวนกลบซากพืชนั้นมีความสำคัญมาก วิธีการไถที่เหมาะสมกับระบบเกษตรอินทรีย์ มีดังนี้
1.การไถพรวนแบบอนุรักษ์ (conservation tillage) เป็นการไถพรวนเพื่อการปลูกพืชที่กำหนดให้ผิวดินอย่างน้อย 30 % มีเศษซากพืชปกคลุมที่ได้จากการปลูกพืชแล้ว เพื่อป้องกันการกร่อนดิน ซึ่งมี 3 แบบ คือ
– ไม่ไถพรวน (no – till) หมายถึงการเปิดหน้าดินเป็นแถว เพียงพอแก่การหยอดเมล็ด การใส่ปุ๋ยก็จะใช้วิธีการเปิดหน้าดินให้น้อยที่สุด เพื่อใส่ปุ๋ย
– ยกร่อง (ridge – till) ยกร่องเท่าที่จำเป็นเพื่อการปลูกพืช การใส่ปุ๋ยก็ดำเนินการโดยเปิดหน้าดินให้น้อยที่สุด
– ไถคลุม (mulch – till) ไถพรวนเล็กน้อย พร้อมกับสับตอซังและวัชพืช เพื่อให้เศษพืชเหล่านั้นยังปกคลุมอยู่บนผิวดิน
ประโยชน์จากการคืนซากพืชลงไปในดิน
การพรวนกลบเศษซากพืชที่เหลือจากการเก็บเกี่ยวลงไปในดิน จะช่วยเพิ่มไนโตรเจนให้แก่ดินได้อีกทางหนึ่ง อย่างไรก็ตามปริมาณไนโตรเจนในซากพืช ย่อมแตกต่างกันตามชนิดของพืช ซากพืชตระกูลถั่วจะมีความเข้มข้นของไนโตรเจนสูงกว่าพืชตระกูลหญ้า สำหรับไนโตรเจนในตอซังข้าวโพดและข้าวสาลี ประมาณร้อยละ 5-20 ได้แปรสภาพเป็นแอมโมเนียมไอออน ซึ่งเป็นประโยชน์แก่พืชที่ปลูกในฤดูถัดมา การเตรียมดินในระบบเกษตรอินทรีย์นั้นมักใช้วิธีไถตื้น ดังนั้นซากพืชส่วนมากจึงยังคงอยู่บนผิวดินและในดินชั้นบน ซึ่งเกิดผลดีหลายประการ คือ ช่วยเพิ่มไนโตรเจนให้ดินบน ประกอบกับดินมีเศษซากพืชปกคลุม การสูญเสียธาตุอาหารโดยการกร่อนของดินจึงเกิดน้อยลงและลดการสูญเสียน้ำจากการระเหยที่ผิวดิน จึงช่วยรักษาความชื้นที่มีในดินให้เป็นประโยชน์ต่อพืช
เมื่อได้จากการจัดการซากพืชและใส่ปุ๋ยอินทรีย์อย่างเหมาะสมและต่อเนื่องจะเกิดผลดังต่อไปนี้
1.ปริมาณอินทรียวัตถุในดินจะสูงและคงที่ เนื่องจากเกิดภาวะสมดุลระหว่างการสูญเสียคาร์บอน ในรูปของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์กับที่ได้รับกลับคืนมาจากการไถกลบซากพืชและการใส่ปุ๋ยอินทรีย์
2.ไนโตรเจนในอินทรียสารที่ปลดปล่อยออกมาในดินนั้น ส่วนมากได้จากจุลินทรีย์และพืชดูดไปใช้เพื่อการเจริญเติบโต บาส่วนสูญหายไปกับการชะล้าง การกร่อน ตลอดจนการสูญเสียในรูปของแก๊ส จึงจำเป็นต้องรักษาความสมดุลไว้เช่นเดียวกับคาร์บอน แต่อาจจะต้องเน้นการใช้พืชตระกูลถั่วในระบบพืชหมุนเวียนหรือปลูกเพื่อเป็นพืชปุ๋ยสด
ดินที่มีอินทรียวัตถุสูง อาจมีอินทรีย์ไนโตรเจนทั้งหมดประมาณ 300 กิโลกรัม.N./ไร่ หากสภาพแวดล้อมในดินเหมาะสม แต่ละปีอินทรียวัตถุในดินมีศักยภาพที่จะปลดปล่อยไนโตรเจนในรูปที่พืชนำไปใช้ได้ประมาณร้อยละ 1-2 หรือปีละ 3-9 กิโลกรัม.N./ไร่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกิจกรรมของจุลินทรีย์ในดิน ซึ่งมีปัจจัยหลายอย่างที่ควบคุม เช่น อุณหภูมิของดิน ความชื้นและการถ่ายเทอากาศ ตลอดจนสภาพการคลุกเคล้าของอินทรียสารในดิน ที่เอื้อให้จุลินทรีย์เข้าถึงและเกิดกิจกรรมการย่อยสลาย ด้วยเหตุนี้การจัดการดินทางใดทางหนึ่ง ที่มีอิทธิพลต่อสภาพความชื้นและการถ่ายเทอากาศ ตลอดจนการกระจายของอินทรียวัตถุในดิน ย่อมมีอิทธิพลอย่างมากต่ออัตราการปลดปล่อยไนโตรเจนในรูปที่เป็นประโยชน์
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการปลดปล่อยธาตุอาหารจากอินทรียสาร
การกำหนดวิธีจัดในฟาร์ม เช่นการจัดสำดับพืชที่ปลูกในการปลูกพืชหมุนเวียน การไถพรวน ใส่ปุ๋ยและให้น้ำ เป็นการควบคุมธรรมชาติของสภาพแวดล้อมจุลภาค () ของจุลสถาน () ในดิน กล่าวคือ สภาพแวดล้อมจุลภาค ที่มีอิทธิพลโดยตรงต่อการเจริญเติบโตและกิจกรรมของราก และชนิดและชนิดและจำนวนประชากรของจุลินทรีย์ดินในบริเวณนั้น จุลินทรีย์ดังกล่าวจะมีอิทธิพลต่อองค์ประกอบและความเข้มข้นของสารต่างที่พืชจะนำไปใช้ประโยชน์ ภายหลังการเก็บเกี่ยวพืช ซากพืชที่เหลือจะกลับคืนลงสู่ดิน แล้วเริ่มวงจรใหม่เมื่อมีการเตรียมดินเพื่อปลูกพืชอีกครั้ง จากหลักการที่กล่าวมาข้างต้น อาจสรุปได้ว่า การเลือกวิธีจัดการดินระหว่างการปลูกพืช เป็นปัจจัยที่กำหนดปริมาณของาตุอาหาร ตลอดจนเวลาที่ธาตุอาหาร เช่น ไนโตรเจนจะถูกปลดปล่อยออกมาเป็นประโยชน์ต่อพืช
เกษตรอินทรีย์มีลักษณะเฉพาะ 2 ประการ คือ อาศัยพืชตระกูลถั่วและปุ๋ยอินทรีย์ เป็นแหล่งธาตุอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มไนโตรเจนเข้าไปในวงจรของธาตุในดิน และมีการไถพรวนเท่าที่จำเป็นและไถตื้นๆ เพื่อให้เศษซากพืชส่วนมากกระจายอยู่ตามผิวดิน การไถเพียงตื้นๆพร้อมทั้งใส่ปุ๋ยหมักซากพืชและทำปุ๋ยสด เป็นการสะสมชิ้นส่วนของอินทรียสารที่อุดมสมบูรณ์ด้วยธาตุอาหารไว้บริเวณผิวดิน ซึ่งมีผลต่อเนื่องอีกหลายประการ เช่น ลดการระเหยของน้ำจากผิวดิน ความชื้นในดินจึงลดลงช้าขณะที่อุณหภูมิดินต่ำกว่าสภาพทั่วไปเล็กน้อย
ด้วยเหตุนี้เองสภาพแวดล้อมจุลภาคที่ผิวดินซึ่งใช้เทคนิคทางการเกษตรอินทรีย์จึงดีกว่าการปฏิบัติทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความชื้นในดินและการกระจายของสารประกอบคาร์บอนและไนโตรเจน ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อกิจกรรมของจุลินทรีย์ดิน การไถพรวนน้อยทาสุดเท่าที่จำเป็น นอกจากจะช่วยอนุรักษ์เศษซากพืชและอินทรียวัตถุในชั้นดินบนแล้ว ยังเพิ่มจำนวนจุลินทรีย์ชนิดต่างๆบริเวณผิวดินระดับ 0-7.5 เวนติเมตรอีกด้วย ดังนั้นการปลูกพืชระบบเกษตรอินทรีย์ที่ไถพรวนน้อย ใส่เศษซากพืชและปุ๋ยอินทรีย์อย่างเพียงพอ ทำให้อินทรียวัตถุในดินเพิ่มขึ้นและเพิ่มปริมาณของอินทรียสารที่มีศักยภาพในการปลดปล่อยไนโตรเจน ซึ่งสารเหล่านี้จะแปรสภาพโดยกระบวนการมินเนอราลไลเซชันเป็นแอมโมเนียมไอออนได้ค่อนข้างรวดเร็ว นอกจากนี้กระบวนการย่อยสลายอินทรียสารของจุลินทรีย์ยังก่อให้เกิดการสะสมสารฮิวมัสซึ่งสลายยากและกลายเป็นแหล่งของไนโตรเจนที่จะมีการปลดปล่อยอย่างช้าๆอีกด้วย
สาระน่ารู้เรื่องปุ๋ยแบบระบบเกษตรอินทรีย์




