การใช้ปุ๋ยพืชไร่ ตอน การปลูกอ้อย :  ความเข้มข้นของแต่ละธาตุ

สาระน่ารู้การใช้ปุ๋ยพืชไร่

 

การใช้ปุ๋ยพืชไร่ ตอน การปลูกอ้อย 

อ้อยแต่ละสายพันธุ์มีความแตกต่างระหว่างความเข้มข้นของธาตุอาหารในแต่ละส่วนของอ้อย

 

ความเข้มข้นของแต่ละธาตุในส่วนต่างๆของอ้อยมีดังนี้

 

1.ไนโตรเจน ในส่วนเหนือของต้นอ่อนจะมีความเข้มข้นสูงมากที่สุดและลดลงเมื่ออายุของต้นมากขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากลำต้นได้เพิ่มจำนวนปล้องแลปล้องเป็นส่วนที่มีความเข้มข้นของไนโตรเจนต่ำ ซึ่งมีค่าดังนี้

– ส่วนของยอดอ่อน มีความเข้มข้น 17.7 กรัม.N/กิโลกรัม

– ส่วนของแผ่นใบอ่อน มีความเข้มข้น 11.8 กรัม.N/กิโลกรัม

– ส่วนของแผ่นใบแก่ มีความเข้มข้น 8.9 กรัม.N/กิโลกรัม

– ส่วนของกาบใบอ่อน มีความเข้มข้น 4.5 กรัม.N/กิโลกรัม

– ส่วนของกาบใบแก่ มีความเข้มข้น 3.1 กรัม.N/กิโลกรัม

– ส่วนปล้องที่ 10-12 มีความเข้มข้น 1.7 กรัม.N/กิโลกรัม

– ส่วนปล้องที่ 7-9 มีความเข้มข้น 1.1 กรัม.N/กิโลกรัม

– ส่วนของปล้องที่ 4-6 มีความเข้มข้น 1.4 กรัม.N/กิโลกรัม

– ส่วนของปล้องที่ 1-3 มีความเข้มข้น 1.5 กรัม.N/กิโลกรัม

 

ใบอ้อยก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน กล่าวคือเมื่ออายุของใบมากขึ้นความเข้มข้นของไนโตรเจนก็จะลดลง เนื่องจากพืชได้สร้างเนื้อเยื่อที่ทำให้ใบแข็งแรงและเคลื่อนย้ายธาตุนี้ไปใช้ในส่วนที่มีการเจริญเติบโตรวดเร็ว ได้แก่ ใบอ่อนและยอดอ่อน จึงพบว่าใบอ่อน ใบแก่เต็มที่แต่ยังเขียวและใบแก่ช่วงชราภาพ (senescence) มีความเข้มข้นของไนโตรเจนร้อยละ 1.2, 0.4 และ 0.2 ตามลำดับ นอกจากนี้ต้นอ้อยที่อยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมซึ่งทำให้เจริญเติบโตลดลง เช่น สภาพอากาศชื้นและเย็น ก็จะทำให้ความเข้มข้นของไนโตรเจนในต้นอ้อยสูงกว่าสภาพปกติ

 

การขาดไนโตรเจนมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของอ้อยหลายด้าน เช่น ลดการขยายของใบ อายุของใบสั้นลงและใบเข้าสู่สภาวะชราภาพเร็วขึ้น ดังนั้นต้นอ้อยที่ขาดไนโตรเจน แต่ละหน่อในกอจะมีใบเพียง 4-6 ใบเท่านั้น ในขณะที่หน่อของต้นอ้อยปกติมี 12-14 ใบ ในช่วงท้ายก่อนเก็บเกี่ยว หากอ้อยเริ่มขาดไนโตรเจนจะมีผลกระทบต่อการสังเคราะห์แสงน้อยกว่าผลต่อการเจริญเติบโต ดังนั้น อ้อยที่ขาดไนโตรเจนในช่วงนี้จึงสะสมน้ำตาลในใบและปล้อง ด้วยเหตุนี้ชาวไร่จึงมักจะงดปุ๋ยไนโตรเจนในช่วงใกล้เก็บเกี่ยว เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำตาลในลำต้นนั่นเอง

 

2.ฟอสฟอรัส โดยปกติส่วนยอดอ่อน (meristems) ของอ้อยมีความต้องการฟอสฟอรัสอยู่ตลอดเวลา เพื่อใช้ในการแบ่งเซลล์และขยายขนาดเซลล์ อันเป็นขั้นตอนของการพัฒนาเนื้อเยื่ออวัยวะใหม่ แต่โดยข้อเท็จจริงแล้ว ดินไม่สามารถสนองฟอสฟอรัสในรูปที่เป็นประโยชน์แก่ต้นอ้อยได้อย่างเพียงพอและสม่ำเสมอ ทั้งนี้เนื่องจากความแปรปรวนของความชื้นในดินหรือระบบรากพัฒนาไม่ทันกับภาระของการดูดธาตุอาหารที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นอ้อยจึงพัฒนากลไกสำหรับสะสมสารฟอสฟอรัสอนินทรีย์ (inorganic phosphate) ในลำต้นช่วงที่ดูดได้มาก เพื่อสำรองไว้ใช้ในยามฉุกเฉินที่ดูดธาตุฟอสฟอรัสได้จากดินน้อย โดยในช่วงดังกล่าว ฟอสฟอรัสไอออนจะเคลื่อนที่จากแหล่งสำรองไปยังยอดอ่อนทันที การที่ปล้องเป็นส่วนที่สะสมฟอสฟอรัสในรูปอนินทรีย์ ซึ่งเป็นรูปที่เคลื่อนย้ายง่ายมาก (highly mobile inorganic P) ความเข้ม้ขนของฟอสฟอรัสในปล้องจึงแปรปรวนอยู่เสมอ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณที่รากดูดได้และปริมาณที่เคลื่อนย้ายไปยังยอดอ่อน ต่างจากความเข้มข้นของฟอสฟอรัสในใบซึ่งแปรปรวนน้อยกว่า เนื่องจากที่สะสมในใบส่วนมากอยู่ในรูปของสารอินทรีย์ฟอสฟอรัส (organic P) เมื่ออวัยวะส่วนเหนือดินมีอายุมากขึ้น ความเข้มข้นของฟอสฟอรัสจะลดลง เนื่องจากในอวัยวะดังกล่าวมีสัดส่วนของเนื้อเยื่อที่มีฟอสฟอรัสสูงน้อยลง แต่เพิ่มเซลล์ประเภทสร้างความแข็งแรงซึ่งมีฟอสฟอรัสต่ำในสัดส่วนที่มากขึ้น เช่นเดียวกับกรณีของไนโตรเจนนั่นเอง

 

3.โพแทสเซียม โพแทสเซียมในพืชอยู่ในรูปแของสารละลายของเซลล์ ไม่ได้อยู่ในโครงสร้างของโปรตีนหรือแมกโครโมเลกุลใดๆ ส่วนความเข้มข้นของโพแทสเซียมในต่างอวัยวะหรืออวัยวะเดียวกัน ที่อายุต่างกันก็จะแตกต่างกันตามไปด้วย ความเข้มข้นของโพแทสเซียมในส่วนต่างๆของต้นอ้อยก่อนเก็บเกี่ยว มีดังนี้

– – ส่วนของยอดอ่อน มีความเข้มข้น 35.5 กรัม.K/กิโลกรัม

– ส่วนของแผ่นใบอ่อน มีความเข้มข้น 16.5 กรัม. K /กิโลกรัม

– ส่วนของแผ่นใบแก่ มีความเข้มข้น 13.1 กรัม. K /กิโลกรัม

– ส่วนของกาบใบอ่อน มีความเข้มข้น 24.8 กรัม. K /กิโลกรัม

– ส่วนของกาบใบแก่ มีความเข้มข้น 20.5 กรัม. K /กิโลกรัม

– ส่วนปล้องที่ 45-47 มีความเข้มข้น 10.7 กรัม. K /กิโลกรัม

– ส่วนปล้องที่ 24.26 มีความเข้มข้น 7.5 กรัม.K /กิโลกรัม

– ส่วนของปล้องที่ 1-3 มีความเข้มข้น 7.2 กรัม.K/กิโลกรัม

 

สาระน่ารู้การใช้ปุ๋ยพืชไร่