ปุ๋ยนํ้านาโนอินทรีย์ชีวภาพG2
ปุ๋ยนํ้านาโนอินทรีย์ชีวภาพG2 เป็นนวัตกรรมปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ รูปแบบใหม่ล่าสุดของ ปุ๋ยที่ได้มาจากการพัตนาค้นคว้าวิจัยทดลองปุ๋ยมา 15 ปี จึงประสพความสำเร็จ เป้าหมายคือ ต้องการให้เกษตรกรสามารถนำปุ๋ยน้ำอินทรีย์ชีวภาพG2 มาลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลผลิต โดยใช้หลักการที่ว่า หากพืชสมบรูณ์แข็งแรงแล้วแมลงและโรคพืชก้อจะไม่มารบกวน ปุ๋ยน้ำอินทรีย์ชีวภาพG2 จึงสามารถใช้ได้ ปลอดภัยทั้งเกษตรกร ทั้งผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อมเพราะส่วนประกอบเป็นสารอินทรีย์100% ครอบคลุมกับพืชทุกชนิด สามารถใช้ได้ตั้งแต่ พืชล้มลุก ไม้ยืนต้น ไม้ผล ไม้ดอกไม้ประดับ พืชเกษตรกรรม ผักปลอดสารพิษ
ปุ๋ยน้ำอินทรีย์ชีวภาพG2 เป็นปุ๋ยชนิดฉีดพ่นทางใบ ภายใน1ขวดนี้ได้รวม ธาตุอาหารพืช 13 ธาตุ ที่จำเป็นกับพืชทุกชนิด สารปรับปรุงดิน สารไล่แมลง โกรทฮอร์โมนวิตามิน สารอินทรีย์ป้องกันโรคพืช ไว้ในขวดเดียวเป็นสารอินทรีย์ออแกนิค(organic fertilizer) จึงช่วยลดต้นทุนการผลิต จากปัจจัยการปลูกพืชโดยพื้นฐานทั่วไป ที่เกษตรกรต้องการให้ พืชเจริญเติบโตสมบรูณ์แข็งแรง ผลผลิตดี ไม่มีโรคพืชและแมลงมารบกวน โดยทั่วไปเกษตรกรต้องมีการเตรียมดิน ใส่ปุ๋ย ใส่ธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรอง พอต้นไม้เริ่มโตก้อต้องมีการป้องกันแมลงกับการให้ปุ๋ยควบคู่กันไปอีก เกษตรกรก้อต้องเลือกซื้อเลือกใช้ให้ถูกกับโรค ให้ถูกกับอาการที่พืชเป็น จึงอาจจะต้องมีการเลือกซื้อเลือกใช้ปุ๋ยหลายๆชนิดร่วมกับสารป้องกันโรคพืช ทำให้เป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายของเกษตรกรเป็นทวีคูณ
แต่จะดีกว่ามั้ย ถ้าตัดขั้นตอนการ เลือกซื้อ แม่ปุ๋ย ปุ๋ยธาตุรองและสารป้องกันศํตรูพืชลง ซึ่งสามารถตัดปัญหาต่างๆเหล่านี้ โดยการใช้ ปุ๋ยน้ำอินทรีย์ชีวภาพG2 ที่ได้รวมเอาทั้งธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารเสริมรองพืช สารสกัดอินทรีย์ป้องกันโรคพืช จุลลินทรีย์ที่มีประโยชน์ มารวมอยู่ในขวดเดียว
ส่วนประกอบภายในของปุ๋นน้ำอินทรีย์ชีวภาพG2
1.ธาตุอาหารหลัก ที่จำเป็นสำหรับพืช ประกอบไปด้วย ไนโตรเจน โพแตสเซียม ฟอสฟอรัส
1.1 ไนโตรเจน มีคุณสมบัติ ช่วยในการเสริมสร้างความเจริญเติบโตทั้งลำต้นและใบ
1.2 โพแตสเซียม มีคุณสมบัติ ช่วยในการ บำรุงผล ขนาดของผล
1.3 ฟอสฟอรัส มีคุณสมบัติ ช่วยในการออกดอก และการสร้างเมล็ดของพืช
2. ธาตุอาหารรอง ที่จำเป็นสำหรับพืช ประกอบไปด้วย แคลเซียม กำมะถัน แมกนีเซียม
2.1 แคลเซี่ยม มีคุณสมบัติ ช่วยในการเคลื่อนย้าย โปรตีนและคาร์โบไฮเดรต และยังมีส่วนช่วยสร้างผนังเซลล์
2.2 กำมะถัน มีคุณสมบัติ ช่วยให้พืชมีการสร้างคลอโรฟิลด์ ซึ่งช่วยในกระบวนการหายใจ
2.3 แมกนีเซียม มีคุณสมบัติ ช่วยให้พืชมีการสร้างโปรตีนและอาหารให้ดีขึ้นและยังช่วยให้พืชมีสีเขียว
3. ธาตุอาหารเสริมหรือเรียกอีกชื่อว่า จุลธาตุ ที่จำเป็นสำหรับพืช ประกอบไปด้วย สังกะสี ทองแดง โบรอน แมงกานีส คลอรีน โมลิบดินัม เหล็ก
3.1 สังกะสี มีคุณสมบัติ ช่วยในการสังเคราะห์แสง และสร้างฮอร์โมนพืช
3.2 ทองแดง มีคุณสมบัติ ช่วยเพิ่มจำนวนโมเลกุลของคลอโลฟิลด์
3.3 โบรอน มีคุณสมบัติ ช่วยให้พืชมีการเคลื่อนย้ายไนโตรเจนและแคลเซียม เพื่อใช้ในกระบวนการสังเคราะห์แสง
3.4 แมงกานีส มีคุณสมบัติช่วยในกระบวนการสังเคราะห์แสง
3.5 คลอรีน มีคุณสมบัติช่วยให้พืชมีการเจริญเติบโตเร็วขึ้น
3.6 โมลิบดินั่ม มีคุณสมบัติช่วยในการตรึงธาตุไนโตรเจน
3.7 เหล็ก มีคุณสมบัติช่วยในกระบวนการหายใจและการปรุงอาหาร
4.คีเลท คือ สารอินทรีย์ที่มาจากซากพืชซากสัตว์ใต้ท้องทะเล คีเลทจะทำหน้าที่จับธาตุอาหารและหุ้มธาตุอาหารไว้ไม่ให้ธาตุอาหารถูกยึดอยู่กับดิน จึงทำให้พืชสามารถดูดซึม ธาตุอาหารได้มากขึ้น
ประโยชน์ของธาตุอาหารในรูปคีเลท
4.1 ช่วยป้องกันอาการพืชขาดธาตุอาหารรอง
4.2 ช่วยแยกธาตุอาหารรองเพิ่มอัตตราการดูดซึมกับพืช
5.วิตามินB1B6B2B12และกรดอะมิโน18ชนิดที่ถูกสกัดมาจากจุลินทรีย์สายพันธุ์ที่เป็นประโยชน์ต่อพืช ด้วยวิธีการคัดแยกสายพันธุ์ ซึ่งปุ๋ยโดยทั่วไป เช่น ปุ๋ยชีวภาพ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด นั้นจะใช้วิธีการหมักบ่มซึ่งในกรรมวิธีการผลิตนั้นจะ มีจุลินทรีย์ทั้งแบบที่เป็นประโยชน์ต่อพืช และจุลินทรีชนิดที่เป็นโทษต่อพืชอาจติดปะปนมา อาจทำให้เกิดโรคพืชได้ นักวิทยาศาสตร์ผู้ผลิต ปุ๋ยน้ำอินทรีชีวภาพG2 จึงได้แก้ปัญหาเหล่านี้ ด้วยการคัดแยกและเพาะเชื้อจุลินทรีย์เฉพาะชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อพืช มาใส่อยู่ในตัวปุ๋ยน้ำอินทรีย์ชีวภาพG2 เป็นเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ ทั้งธาตุอาหารในการสร้างความสมบรูณ์แข็งแรงและภูมิคุ้มกันโรคพืชอีกด้วย
6.โกรทฮอร์โมนสกัดจากไข่แดงและเอ็นไซม์ ที่มีหน้าที่เพิ่มประสิทธิ์ภาพในกระบวนการดูดซึมธาตุอาหารให้กับพืช และยังเป็นสารกระตุ้นให้พืชเร่งการออกดอกและออกผลได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
7.ไคโตซาน คือสารสกัดอินทรีย์ที่มาจากเปลือกกุ้งเปลือกปู มีลักษณะเป็นไบโอโพลิเมอร์ เป็นสารธรรมชาติที่มีความปลอดภัยในการนำมาใช้กับสิ่งมีชีวิตไม่เกิดผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม
ประโยชน์ของไคโตซานคือ ทำหน้าที่ยับยั้งเชื้ออันเป็นสาเหตุแก่โรคพืชบางชนิดที่เกิดจาก เชื้อไวรัสเชื้อแบคทีเรีย เชื้อราบางขนิด โดยไคโตซานจะซึมผ่านทางลำต้นและผิวใบ ช่วยระงับการแพร่กระจายของเชื้อที่เกิดกับพืชแล้วไม่ให้ลามไปมากกว่าเดิมเป็นการรักษาโรคพืชไปในตัวและ ไคโตซานยังทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นให้พืชกระตุ้นระบบป้องกันตัวเองของพืชจึงลดโอกาสที่เชื้อโรคจะเข้ามาทำลายพืชได้
8.ไบโอฟลาโวนอยด์ เป็นสารสกัดอินทรีย์ชนิดนึงที่มาจากพืช ได้มาจากการสกัดจากพืชตะกูลส้ม โดยสารฟลาโวนอยด์ เมื่อพืชดูดซึมเข้าไปแล้วจะทำการกระตุ้นให้เซลของพืชสร้างโปรตีนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และทำการ ขยายท่อน้ำเลี้ยงของพืชและผนังเซลล์ ให้มีการขยายตัวใหญ่ขึ้นจึงทำให้พืช มีความต้องการสารอาหารมากขึ้น จึงเป็นการเร่งการดูดซึมอาหารของพืชทำให้พืช สามารถกักเก็บน้ำและสารอาหารได้มากขึ้น เรียกกันง่ายๆ ว่าสารเพิ่มความอยากอาหารกับพืช
9.ซิลเวอนาโน หรือที่ในสมัยก่อนเรียกว่า สารละลายซิลเวอร์ ซึ่งแร่เงินมีคุณสมบัติ ในการยับยั้งเชื้อโรคเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราบางชนิด ซิลเวอนาโนคือ การทำให้แร่เงินมีอณุภาคที่เล็กลงอยู่ในหน่วยนาโนเมตร ซึ่งเล็กมากเล็กพอที่จะแทรกซึกผ่านผนังเซลล์ของเชื้อแบคทีเรียและออกฤทธิ์ทำลายเซลล์ของแบคทีเรียได้
10.ซิลิกา เป็นแร่ธาตุที่ได้จากหินภูเขาไฟอยู่ในกลุ่มสารประกอบออกไซด์ของธาตุซิลิกอน อยู่ในกลุ่มธาตุอาหารเสริมของพืช พืชจะสามารถนำไปช่วยสร้างภูมิคุ้มกันและเสริสร้างความแข็งแกร่งให้กับผนังเซลล์เป็นการช่วยป้องกันการเข้าของโรคพืช แมลง และเชื้อราบางชนิด เป็นอย่างดี และประโยชน์อีกอย่างของ ซิลิกาคือ ทำหน้าที่ในการปรับสภาพดิน ปรับค่าความเป็นกรดเป็นด่างของดินให้มี สภาพเป็นกลาง จึงทำให้ดินสามารถปลดปล่อยธาตุอาหารให้กับพืชได้อย่างเต็มที่ และซิลิกายังช่วยสลายสารพิษตกค้างอันเกิดจากการใช้ ปุ๋ยเคมี สารเคมี อีกด้วย
11. สารไล่แมลงที่สกัดจากสมุนไพรธรรมชาติ เหมาะกับการทำเกษตรอินทรีย์และผักปลอดสารพิษเพราะสารที่ใช้ได้มาจาก สมุนไพรที่มีตามธรรมชาติ จึงไม่เป็นอันตรายต่อเกษตรกรและผู้บริโภค แถมยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
11.1 สะเดา เป็นสมุนไพรธรรมชาติสรรพัดประโยชน์มาก มีคุณสมบัติในการป้องกัน ขับไล่แมลง สามารถใชได้กับแมลงหลายชนิด ต่อต้านการดูดกินน้ำเลี้ยงทำให้ตัวอ่อนไม่สามารถลอกคราบได้ และยังสามารถกำจัดแมลงได้อีกหลายชนิดเช่น ตั้กแตน ด้วงเต่าเพลี้ยอ่อน เพลี้ยกระโดดสีเขียว มอดข้าวโพด มอดแป้ง แมลงหวี่ขาวยาสูบ แมลงวันผลไม้ หนอนกอ หนอนกอสีครีม หนอนเจาะสมอฝ้าย และยังสามารถกำจัดไส้เดือนฝอยในดินได้อีกด้วย
11.2 ว่านหนอนตายหยาก เป็นสมุนไพรที่มีคุณประโยชน์หลายประการภายในต้นว่านหนอนตายหยากจะมีสารกลุ่ม อัลคาลอยด์ ที่มี สรรพคุณเป็นสารป้องกันและกำจัดศัตรูพืช เช่น หนอนกัดกินใบ เพลื้ยอ่อน หนอนกระู้ทู้ หนอนชนิดต่างๆ รวมถึงการกำจัดลูกน้ำยุง และยังกำจัดเชื้ออันเป็นสาเหตุของโรคพืชบางชนิดได้อีกด้วย
11.3 ตะไคร้หอม มีคณสมบัติเป็นน้ำมันหอมระเหยและมีสารที่แมลงไม่ชอบ
คำแนะนำสำหรับผู้ที่เคยใช้ปุ๋ยน้ำอินทรีย์ชีวภาพG2
ปุ๋ยน้ำนาโนอินทรีย์ชีวภาพ มีลักษณะเป็นของสารสกัดเหลวใส ไม่มีตะกอน ผ่านเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์มีความเข้มข้นของสารสกัดที่สูงมากจึงทำให้สามารถใช้ในปริมาณที่น้อยกว่าปุ๋ยน้ำ ชนิดอื่นๆ หากนำไปเทียบกับ ปุ๋ยน้ำชีวภาพชนิดอื่นๆที่ผ่านกระบวนการหมักแบบทั่วๆไป เช่นบางชนิดจะมีลักษณะข้น กลิ่นแรง และจะมีกากที่ไม่เป็นประโยชน์ เป็นจำนวนมาก จึงต้องใช้ในปริมาณที่มากกว่า ปุ๋ยน้ำอินทรีย์ชีวภาพG2 ถึงสามเท่าตัว ในสัดส่วน ต่อน้ำ20ลิตรเท่าๆกัน ถ้าเปรียบเทียบกันด้านราคาต้นทุนแล้ว จะเห็นได้ชัดเจนว่า ปุ๋ยน้ำอินทรีย์ชีวภาพG2 ต้นทุนการใช้งานจะถูกกว่า และเมื่อถึงเวลาการเก็บเกี่ยวผลผลิต จะได้ผลผลิตที่มากขึ้นและมีคุณภาพกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด จึงเป็นการช่วยเพิ่มรายได้และลดต้นทุนการผลิต ไปอีกทางนึงด้วย
ทำไมจึงต้องใช้ปุ๋ยน้ำอินทรีย์ชีวภาพG2
เพราะจะทำให้พืชได้รับธาตุอาหาร ฮอร์โมน และสารเพิ่มประสิทธิภาพต่างๆ อย่างครบถ้วน โดยเฉพาะในหลายสาเหตุที่ ปุ๋ยทางดิน ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของเกษตรกรได้ดี และการให้ปุ๋ยทางดินทั่วๆไปอาจทำให้ประสพปัญหา พืชเจริญเติบโตช้า ให้ผลผลิตน้อย โรคพืชและศํตรูพืชรบกวน อาจทำให้พืชไม่แข็งแรงและล้มตายได้ ด้วยสาเหตุดังต่อไปนี้
1.ปุ๋ยทางดินโดยทั่วไปจะไม่สามารถให้ธาตุอาหารกับพืชครบถ้วน 16ธาตุ ตามที่พืชต้องการ ทำให้พืชเกิดอาการขาดธาตุอาหารเสริม จึงส่งผลให้พืชไม่แข็งแรง เจริญเติบโตช้า และไม่สามารถควบคุมผลผลิตที่ต้องการให้มีคุณภาพสูงได้
2.พืชถ้าเกิดสภาวะขาดธาตุอาหารฉุกเฉินขาดธาตุอาหารอย่างรุนแรง เช่นอาการรากถูกทำลายทำให้พืชไม่สามารถดูดซึมธาตุอาหารจากทางดินได้ จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีการให้ปุ๋ยโดยเป็นวิธีการฉีดพ่นทางใบแทน พืชถึงจะสามารถดูดซึมธาตุอาหารจากทางใบแทนและ การดูดซึมธาตุอาหารของพืชจากทางใบพืชสามารถดูดซึมธาตุอาหารได้ไวกว่าการดูดซึมจากทางราก
3.หากในกรณีที่พืชได้รับธาตุไนโตรเจน ในปริมาณมากจนเกินไป อันเกิดมาจากการใส่ปุ๋ยยูเรียจนตกค้าง อยู่ในดิน จะทำให้พืชไม่ออกดอกในช่วงฤดูที่ควรจะออกดอก พืชจะแตกใบแทนเพราะได้รับธาตุไนโตรเจนที่มาจากปุ๋ยยูเรียที่ตกค้างในดินนั่นเอง ทางแก้คือ ใช้ ปุ๋ยน้ำอินทรีชีวภาพG2 ฉีดพ่นทางใบ ทดแทนการให้ปุ๋ยทางดิน ในช่วงระยะเวลาหนึ่งตัวสารเพ่มประสิทธิภาพในปุ๋ยจะเป็นตัวกระตุ้นให้พืช กลับมาออกดอกออกผลตามที่ต้องการได้
4.สภาพของดินไม่ดี เกิดจากดินมีสภาพความ เป็นกรด เป็นด่างสูงเกินค่ามาตราฐาน จะทำให้ดินเกิดอาการตรึงธาตุอาหารในดิน ส่งผลให้พืชที่โดยทั่วไป ดูดซึมธาตุอาหารและน้ำผ่านรากจากทางดิน จึงไม่สามารถนำธาตุอาหารที่จำเป็นต่อพืชไปใช้ได้ หรือใช้ได้ก้อเพียงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และทุกวันนี้ อาการเหล่านี้เกิดได้แผ่ขยายเป็นวงกว้างเพราะเกิดจากผลกระทบที่ เกษตรกรได้ใช้ปุ๋ยเคมีมาเป็นเวลานานมาก จึงทำให้ปุ๋ยเคมีตกค้างในดินมีการเปลี่ยนสภาพ อันทำให้เกิดสาเหตุ ดินมีสภาพความเป็นกรดเป็นด่างสูง ดินแข็ง ขาดการอุ้มน้ำ ขาดความร่วนซุย ธาตุอาหารในดิน มีน้อยจึงทำให้เกษตรกรอยากได้ผลผลิตที่มาก ก้อจะต้องเติมปุ๋ยเคมีในปริมาณที่มากขึ้นก้อจะเป็นการยิ่งทำลายดินให้เสื่อมลงมากกว่าเดิม ซึ่งแก้ปัญหาได้โดย การปลูกพืชหมุนเวียนเป็นการทำเกษตรอินทรีย์รูปแบบหนึ่งแล้วทำการให้ปุ๋ยพืชหมุนเวียนที่ปลูกนั้นโดยวิธีการฉีดพ่นด้วย ปุ๋ยน้ำอินทรีย์ชีวภาพG2 จะเป็นตัวเร่งการปรับสภาพดินให้กลับมามีสภาพที่ดี ไปในตัวอีกวิธีหนึ่ง
วิธีการใช้ปุ๋ยน้ำอินทรีย์ชีวภาพG2 ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด (1ฝา = 5 ซีซี)
1.ระยะการแช่เมล็ด นำปุ๋ยน้ำG2 มาผสมกับน้ำในอัตราส่วน 5 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร แล้วจึงนำเมล็ดพันธุ์ทั้งหมดที่จะปลูกลงไปแช่ทิ้งไว้ สัก 6-8 ชั่วโมง แล้วจึงนำไปปลูก
2.ระยะต้นกล้า นำปุ๋ยน้ำG2 มาผสมกับน้ำในอัตราส่วน 2.5 – 5 ซีซี (ตามอายุของต้นกล้า ยิ่งอ่อนยิ่งน้อย) แล้วนำไป ฉีดพ่นบางๆ อย่าฉีดแช่ เพราะความเข้มข้นของปุ๋ยสูงมาก อาจทำให้พืชใบไหม้และตาย ได้
3.ระยะเจริญเติบโตถึงระยะให้ผลผลิต ควรผสมในอัตราส่วน 5-10 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร แล้วจึงนำไป ฉีดพ่น ที่ใบบางๆ
เวลาที่เหมาะสมในการฉีดพ่น คือ ในช่วงเช้าควรฉีดเวลา 05.00 น.- 10.00 น.
ในช่วงเย็นควรฉีดเวลา 16.00 น.- 18.00 น.
ไม่ควรผสมปุ๋ยเกินปริมาณที่กำหนด และควรฉีดพ่นในช่วงเวลาที่แสงแดดมีน้อย
ควรฉีดพ่นทุกๆ 7-10 วัน อย่างน้อย 3-5 ครั้ง
