ปุ๋ยระบบเกษตรอินทรีย์ : การบำรุงดินด้วยสารอนินทรีย์
สาระน่ารู้เรื่องปุ๋ยแบบระบบเกษตรอินทรีย์
หากการผลิตพืชอินทรีย์โดยใช้ระบบการปลูกพืชหมุนเวียน ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ปริมาณมากพอและต่อเนื่อง รวมทั้งการพรวนกลบซากพืชและมีมาตรการอนุรักษ์ดินและน้ำให้เหมาะสม จนปริมาณธาตุอาหารที่พืชดูดไปใช้เพื่อการเจริญเติบโตตลอดฤดูกาลปลูกและสูญเสียไปตามธรรมชาติ สมดุลกับปริมาณที่ปลดปล่อยออกมาจากดินทุกครั้งที่มีการปลูกพืชในช่วงเวลาหลายๆปี ก็ถือได้ว่าเป็นระบบการจัดการดินที่ปฏิบัติอยู่นั้น เป็นส่วนหนึ่งของระบบเกษตรยังยืนได้ เนื่องจากระบบการจัดการดินสร้างดุลยภาพของธาตุอาหารและให้ผลผลิตสูงในระดับที่ดีต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน
แต่ถ้าผลการประเมินความอุดมสมบูรณ์ของดินโดยการวิเคราะห์ดินเปรียบเทียบกับข้อมูลที่มี แล้วพบว่าการจัดการด้วยวิธีข้างต้นไม่สามารถตอบสนองธาตุอาหารบางธาตุให้แก่พืชได้อย่างเพียงพอ ในระบบเกษตรอินทรีย์ มีทางเลือกอยู่ 3 ทาง ดังนี้
- ยอมรับสภาพการผลิตว่าได้ผลผลิตไม่เต็มที่ ซึ่งระดับปริมาณและคุณภาพของผลผลิตย่อมสัมพันธ์กับความอุดมสมบูรณ์ของดินที่เป็นอยู่
- ปรับปรุงวิธีการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ด้วยวิธีการเพิ่มอัตราหรือเปลี่ยนชนิดของปุ๋ยที่ใช้ให้เหมาะสมกว่าเดิม
- ใส่แร่ธรรมชาติที่อนุญาตให้ใช้ได้ เพื่อเพิ่มธาตุอาหารในดินที่ยังขาดอยู่ ให้มีระดับเพียงพอต่อความต้องการของพืช โดยเลือกชนิดของปุ๋ยธรรมชาติ ซึ่งมีธาตุอาหารตรงกับที่ดินขาด เช่น ถ้าดินขากธาตุฟอสฟอรัสก็ใช้หินฟอสเฟตบด แล้วใส่ในอัตราที่เหมาะสมด้วยวิธีการที่ถูกต้อง
ในกรณีที่การบำรุงดินด้วยปุ๋ยอินทรีย์แล้ว แต่ผลการวิเคราะห์ดินยังแสดงว่า บางธาตุมีในความเข้มข้นต่ำและเป็นเหตุให้พืชไม่เจริญเติบโตตามปกติ จำเป็นต้องใส่ปุ๋ยเพื่อเพิ่มธาตุดังกล่าว ให้ดำเนินการดังนี้
- ตรวจสอบชื่อสารที่อนุญาตให้ใช้ในการบำรุงดินในระบบเกษตรอินทรีย์และชนิดของธาตุอาหารที่มีอยู่ในสารนั้น
- ตรวจสอบข้อมูลด้านปริมาณธาตุอาหารว่ามีมากหรือน้อยเพียงใด แล้วจึงกำหนดอัตราการใช้ ทั้งนี้เนื่องจากสารแต่ละแหล่งมีปริมาณธาตุอาหารที่แตกต่างกัน เช่น หินฟอสเฟตบดที่ระบุว่ามีฟอสเฟตที่เป็นประโยชน์ 3% อาจมีฟอสเฟตทั้งหมด 18-30 % ซึ่งผลการใช้จะแตกต่างกันมาก เนื่องจากการใส่หินฟอสเฟตในดินที่มีอินทรียวัตถุสูงนั้น ฟอสเฟตส่วนที่ละลายยาก จะค่อยๆปลดปล่อยรูปที่เป็นประโยชน์ออกมาให้พืชใช้อย่างช้าๆ
อาจยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เห็นได้ดังนี้ หินฟอสเฟต 2 ชนิด มีสูตรปุ๋ยเหมือนกัน คือ 0-3-0 แต่ชนิดที่ 1 มีฟอสเฟตทั้งหมด 18 % จะมีฟอสเฟตที่ไม่เป็นประโยชน์เท่ากับ 15 กิโลกรัม ชนิดที่ 2 มีฟอสเฟตทั้งหมด 30 % จะมีฟอสเฟตที่ไม่เป็นประโยชน์เท่ากับ 27 กิโลกรัม ในปุ๋ย 100 กิโลกรัม ดังนั้น การใส่หินฟอสเฟตไร่ละ 100 กิโลกรัม เท่านั้น แม้ว่าปุ๋ยทั้งสองชนิดจะให้ฟอสเฟตที่เป็นประโยชน์เท่ากัน คือ 3 กิโลกรัม/ไร่ แต่ปุ๋ยชนิดที่ 1 จะปลดปล่อยฟอสเฟตออกมาเป็นประโยชน์ต่อพืชในระยะยาวเพียง 15 กิโลกรัม/ไร่ ส่วนปุ๋ยชนิดที่ 2 ให้ฟอสเฟตที่เป็นประโยชน์ถึง 27 กิโลกรัม/ไร่
สารที่อนุญาตให้ใช้เพื่อบำรุงดินและเป็นประโยชน์ มีดังนี้
– หินฟอสเฟต ให้แคลเซียมและฟอสฟอรัส
– หินโพแทซ ให้โพแทสเซียม
– แร่แลงไบไนต์ ให้โพแทสเซียม แมกนีเซียมและกำมะถัน
– โพแทสเซียมซัลเฟต ให้โพแทสเซียมและกำมะถัน (อนุญาตเฉพาะปุ๋ยที่ผลิตโดยบกระบวนการทางกายภาพ)
– ยิปซัมซึ่งให้กำมะถันและแคลเซียม
– กำมะถันผง ให้กำมะถัน
– แมกนีเซียมซัลเฟต ให้แมกนีเซียมและกำมะถัน
– หินปูนบดและเปลือกหอย ใช้แก้ไขสภาพกรดของดินและให้แคลเซียม
– หินปูนโดโลไมต์ ใช้แก้ไขสภาพกรดของดิน ให้แคลเซียมและแมกนีเซียม
– เถ้าไม้ มีฤทธิ์ด่างเล็กน้อย ให้โพแทสเซียม แคลเซียมและแมกนีเซียมเล็กน้อย
– แคลเซียมจากสาหร่าย ให้แคลเซียม
– แคลเซียมซิลิเกต ให้แคลเซียมจากซิลิกอน
– โบแรกซ์ ให้โบรอน
– ปุ๋ยจุลธาตุ ให้ B, Cu, Fe, Mn, Mo และ/หรือ Zn แต่ต้องได้รับการรับรองก่อนใช้งาน




