ปุ๋ยธาตุรอง

ปุ๋ยธาตุรอง คืออะไร

ปุ๋ยธาตุรองเป็นธาตุอาหารในกลุ่มมหธาตุ มี 3 ธาตุ คือ แคลเซียม แมกนีเซียมและกำมะถัน

 

ส่วนจุลธาตุ มี 8 ธาตุ คือ เหล็ก ทองแดง แมงกานีส สังกะสี โมลิบดีนัม โบรอน คลอรีนและนิกเกิล แม้นักวิทยาศาสตร์จะค้นพบบทบาทของธาตุเหล่านี้ต่อพืชมานานแล้ว แต่ความสำคัญของปุ๋ยธาตุรองและปุ๋ยจุลธาตุในการปลูกพืช เริ่มเป็นที่ยอมรับเมื่อไม่นานมานี้เอง เนื่องจากบางแห่งมีไร่นาที่ค่อนข้างกว้าง จึงพบการขาดแคลนธาตุรองและจุลธาตุ ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญต่อการเพาะปลูกเป็นอย่างมาก สาเหตุที่ขาดแคลนธาตุอาหารเหล่านี้ มาจาก
– ปุ๋ยธาตุหลักที่ใช้ในอดีตมีธาตุรองและจุลธาตุเจือปนอยู่ค่อนข้างมาก แต่เมื่อมีการพัฒนากระบวนการผลิตปุ๋ยธาตุหลักเกรดสูง จึงมีธาตุอื่นๆเจือปนน้อยลง ดังนั้น เมื่อเราใส่ปุ๋ยธาตุหลักลงในดิน จึงเกิดการขาดแคลนธาตุรองและจุลธาตุนั่นเอง
– โดยทั่วไปเกษตรกรที่ปลูกพืชให้ความสนใจเฉพาะการใส่ปุ๋ยหลัก ในขณะที่พืชดูดธาตุรองและจุลธาตุจากดินอยู่เสมอและธาตุเหล่านี้ก็ติดไปพร้อมกับการเก็บเกี่ยวผลผลิต สูญเสียไปกับการชะล้างการกร่อนในระหว่างการเพาะปลูก หากธาตุใดธาตุหนึ่งมีอยู่ในจำนวนจำกัด พืชจะขาดแคลนธาตุนั้นและให้ผลผลิตต่ำลง
– ในปัจจุบัน เกษตรใช้ปุ๋ยอินทรีย์น้อยลง ดังนั้นธาตุรองและจุลธาตุที่ควรจะได้จากปุ๋ยอินทรีย์น้อยลงไปด้วย

 ปุ๋ยธาตุรอง1

ปุ๋ยธาตุรองนี้มีองค์ประกอบ 2 ประเภท คือ ปุ๋ยธาตุหลักที่มีธาตุรองและปุ๋ยที่มีเฉพาะธาตุรองหนึ่งธาตุหรือมากกว่าหนึ่งธาตุ
สารประกอบของแคลเซียม
มี 3 ประเภท คือ ปูน ปุ๋ยธาตุหลักบางชนิดและสารประกอบอื่นๆ แต่ตามพระราชบัญญัติปุ๋ยระบุว่า “ ปุ๋ยเคมี “ ไม่รวมปูนขาว ดินมาร์ล ปูนปลาสเตอร์หรือยิปซัม จึงไม่มีการควบคุมด้านการผลิตและการจำหน่ายเหมือนปุ๋ยเคมี ดังนั้นจึงถือว่า ปูนหรือยิปซัมเป็นสารให้ธาตุรอง
– ปูน (lime) เป็นสารประกอบของแคลเซียมและแมกนีเซียมที่ใช้ใส่ดินเพื่อลดสภาพความเป็นกรด แม้การใส่ปูนคือการเพิ่ม pH ของดินให้เข้าสู่ระดับที่กำหนด แต่พืชก็ได้รับแคลเซียมและแมกนีเซียมที่มีอยู่ในปูนนั้นด้วย การใส่ปุ๋ยนั้นต้องใส่ตามระดับที่กำหนดของดินแต่ละที่
– ปุ๋ยธาตุหลักบางชนิด มีแคลเซียมเป็นองค์ประกอบ ได้แก่ แคลเซียมไนเทรต หินฟอสเฟต ซูเปอร์ฟอสเฟตธรรมดาและทริปเปิลซูเปอร์ฟอสเฟต ดังนั้นเมื่อใช้ปุ๋ยเหล่านี้ นอกจากพืชจะได้รับธาตุหลักแล้วยังได้รับแคลเซียมร่วมด้วย
– สารประกอบอื่นๆ ที่มีแคลเซียมเป็นองค์ประกอบและใช้เป็นปุ๋ยได้ คือ ยิปซัมและแคลเซียมคลอไรด์ เช่น ยิปซัม มาจาก 2 แหล่ง คือ แร่ที่สะสมในดินบางบริเวณเป็นปริมาณมาก เมื่อขุดจากเหมืองก็นำมาบด แล้วร่อนผ่านตะแกรงก่อนนำมาใช้ หรือมาจากผลพลอยได้จากการผลิตกรดฟอสฟอริก จากหินฟอสเฟตกับกรดซัลฟิวริก เรียกว่า ฟอสโฟยิปซัม (phosphor gypsum) ซึ่งมียิปซัมเป็นองค์ประกอบถึงร้อยละ 50 ของปุ๋ยซูเปอร์ฟอสเฟตธรรมดา ยิปซัมเป็นสารประกอบที่ละลายน้ำได้เล็กน้อย แต่ก็เพียงพอต่อความต้องการของพืชที่ต้องการแคลเซียมและกำมะถัน สำหรับดินที่ขาดแคลเซียมแต่ pH ใกล้กลางแล้ว การใช้ยิปซัมมีความเหมาะสมมาก แคลเซียมคลอไรด์ สามารถละลายน้ำได้ดี หากนำไปใช้เป็นปุ๋ยทางใบ ควรเลือกใช้กับพืชที่ทนต่อคลอไรด์เท่านั้น

 ปุ๋ยธาตุรอง4

สารประกอบของแมกนีเซียม

 

มีหลายชนิด แต่อาจจำแนกได้ 2 พวก คือ สารที่ละลายน้ำง่าย และ สารที่ละลายน้ำได้เพียงเล็กน้อย
– สารประกอบของแมกนีเซียมที่ละลายน้ำได้ง่าย มี 4 ชนิด ได้แก่
1. แมกนีเซียมซัลเฟตโมโนไฮเดรต หรือคีเซอร์ไรด์ (kieserite) ซึ่งมี 18%Mgและ 27%S กับแมกนีเซียมเฮปตาไฮเดรตหรือดีเกลือฝรั่ง (epsom salt) มี 10% Mg ใช้เป็นปุ๋ยทางดินหรือละลายน้ำฉีดให้ทางใบเพื่อแก้ไขการขาดแมกนีเซียม
2.แมกนีเซียมไนเทรต เป็นเกลือที่มีน้ำผลึก 6 โมเลกุล เมื่อบริสุทธิ์มีแมกนีเซียม 9.5%Mg เนื่องจากสารนี้ละลายน้ำได้ง่าย จึงใช้เป็นปุ๋ยที่ให้ทางใบได้เป็นอย่างดี
3. แมกนีเซียมคลอไรด์ มี25%Mg และ 75%Cl เป็นปุ๋ยที่ละลายน้ำได้ง่าย นำมาใช้กับพืชทางใบที่ทนต่อคลอไรด์ได้เท่านั้น
4. เกลือซึ่งมีทั้งแมกนีเซียมและโพแทสเซียม ได้แก่ เกลือเชิงคู่ ดังต่อไปนี้ แลงไบไนต์ (langbeinite) ไคไนต์ (kainite) โซไนต์ (schoenite) ลีโอไนต์ (leonite) แลงไบไนต์เป็นปุ๋ยที่ให้ธาตุอาหารถึง 3 ชนิด ส่วนไคไนต์ โซไนต์และลีโอไนต์ ต่างก็เป็นเกลือเชิงคู่ที่มีแมกนีเซียมซัลเฟตและโพแทสเซียมคลอไรด์เป็นองค์ประกอบ เพียงแต่มีจำนวนโมเลกุลของน้ำแตกต่างกัน
– สารประกอบของแมกนีเซียมที่ละลายน้ำได้เล็กน้อย มีหลายชนิด ได้แก่ โดโลไมต์ แมกนีไซต์และแมกนีเซีย
1.โดโมไลต์ เป็นทั้งปูนและปุ๋ยแมกนีเซียม จึงเหมาะที่จะใช้ในดินกรด โดโมไลต์มีแมกนีเซียม 8-20% ขึ้นอยู่กับปริมาณของสิ่งเจอปน
2.โดโลมิติกไลม์ เกิดจากการเผาโดโมไลต์ที่อุณหภูมิ 900-1000 C แร่จะปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ออกมากลายเป็นโดโลมิติกไลม์ แต่ถ้าเผาที่อุณหภูมิเพียง 550-600 C และพ่นด้วยไอน้ำเฉพาะแมกนีเซียมคาร์บอเนตเท่านั้นที่แปรสภาพเป็นแมกนีเซียมออกไซด์ ส่วนแคลเซียมคาร์บอเนตยังไม่สลายตัว ซึ่งเมื่อใส่ในดินจะสลายเป็นประโยชน์แก่พืชได้ง่ายกว่าโดโลไมต์ธรรมดา
3.แมกนีต์ มีอยู่ในธรรมชาติ แต่ไม่มากเหมือนโดโลไมต์
4.แมกนีเซียหรือแมกนีเซียมออกไซด์ ผลิตโดยนำแมกนีเซียมคาร์บอเนตมาเผาเพื่อให้คาร์บอนไดออกไซด์ระเหยไป จะได้แมกนีเซียซึ่งมีแมกนีเซียม 50-55%
5.เซอร์เพนทีน (serpentine) แร่ชนิดนี้มีแมกนีเซียมประมาณ 26% ใช้เป็นปุ๋ยแมกนีเซียมได้ดี
6.กากถลุงที่เป็นเบส (basic slag) คือผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมถลุงเหล็ก เนื่องจากแคลเซียมฟอสเฟตซึ่งเจือปนอยู่ในสินแร่เหล็ก ทำให้คุณภาพของผลิตภัณฑ์มีคุณภาพต่ำ จึงต้องแยกสิ่งเจอปนออกโดยหลอมสินแร่เหล็กกับถ่านโค้ก (ผงถ่านที่เหลือจากการนำถ่านหินมากลั่นแบบไร้อากาศ) และโดโลไมต์บด ในเตาถลุงที่อุณหภูมิประมาณ 1900 C กากถลุงที่เบากว่าเนื้อเหล็กจะลอยขึ้นมาบนผิวและแยกออกได้ ต่อจากนั้นปล่อยให้เย็นก่อนเทลงในน้ำ สแลกจะแตกออกเป็นเม็ดเล็ก ปริมาณแมกนีเซียมที่เป็นประโยชน์ต่อพืชใกล้เคียงกับที่มีในโดโลไมต์

ปุ๋ยธาตุรอง3

ปุ๋ยกำมะถัน

แต่เดิมนั้น การเกษตรใช้กำมะถันในการเพาะปลูก เพื่อปรับปรุงคุณสมบัติทางเคมีของดินทีมีปัญหาบางประการ เช่น ใส่กำมะถันผงในดินที่เป็นด่างเพื่อลดค่า pH ของดินลงสู่ระดับที่ต้องการ หรือใช้กำมะถันผงหรือยิปซัมเพื่อปรับปรุงดินโซดิกและดินเค็มโซดิก เพื่อลดปริมาณโซเดียมที่แลกเปลี่ยนได้จนเข้าสู่ระดับดินปกติ แม้กำมะถันจะเป็นธาตุรองที่พืชต้องการใช้เป็นจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่การขาดแคลนธาตุนี้มักเกิดในดินที่หยาบและมีอินทรียวัตถุต่ำ โดยปกติซัลเฟตไอออนในสารละลายของดินซึ่งเป็นประโยชน์ต่อพืชมาจากการสลายตัวของแร่และอินทรียวัตถุ

 

นอกจากนี้ ดินยังได้รับกำมะถันจากแหล่งอื่นๆอีกด้วย เช่น ปุ๋ยธาตุหลักที่มีกำมะถัน เช่น แอมโมเนียมซัลเฟต ซูเปอร์ฟอสเฟตธรรมดา และโพแทสเซียมซัลเฟต เกิดจากซัลเฟอร์ไดออกไซด์ในอากาศละลายลงมาเจอปนกับน้ำฝนลงสู่ดิน ในย่านอุตสาหกรรมที่มีการใช้น้ำมันเป็นเชื้อพลิงปริมาณมากๆอาจจะได้รับสารนี้มากกว่าบริเวณอื่นๆ นอกจากนี้ใบพืชยังดูดแก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์ได้ด้วย ร้อยละ 22-36 ของกำมะถันนั้น พืชสามารถดูดสารเหล่านี้โดยตรงจากทางอากาศได้เลย หรือจากสารฆ่าศัตรูพืช (pesticide) บางชนิดมีกำมะถันเป็นองค์ประกอบเมื่อสารดังกล่าวตกลงสู่พื้นดิน จะถูกจุลินทรีย์แปรสภาพกลายเป็นซัลเฟต

 

หากดินขาดกำมะถัน จะทำให้มีปัญหาต่อพืชที่ปลูก อาจจะแก้ไขโดยการเลือกใช้ปุ๋ยอย่างใดอย่างหนึ่ง ใน 3 พวก คือ
– แอมโมเนียมซัลเฟต ให้ธาตุกำมะถัน 24%
-แอมโมเนียมไทโอซัลเฟต ให้ธาตุกำมะถัน 26%
-ยิปซัม ให้ธาตุกำมะถัน 18%
-แมกนีเซียมซัลเฟต ให้ธาตุกำมะถัน 13%
-โพแทสเซียม-แมกนีเซียมซัลเฟต ให้ธาตุกำมะถัน 22%
-โพแทสเซียมซัลเฟต ให้ธาตุกำมะถัน 18%
-โพแทสเซียมไทโอซัลเฟต ให้ธาตุกำมะถัน 17%
-กำมะถัน ให้ธาตุกำมะถัน 30-99%
-กรดซัลฟิวริก ให้ธาตุกำมะถัน 33%
-ซูเปอร์ฟอสเฟตธรรมดา ให้ธาตุกำมะถัน 10-14%
-ทริปเปิลซูเปอร์ฟอสเฟต ให้ธาตุกำมะถัน 1-2%
ปุ๋ยธาตุหลักที่มีกำมะถันเป็นองค์ประกอบ ในกลุ่มปุ๋ยนี้มี 3 ชนิด คือ แอมโมเนียมซัลเฟต ซูเปอร์ฟอสเฟตธรรมดา ทริปเปิลซูเปอร์ฟอสเฟตและโพแทสเซียมซัลเฟต ส่วนยิปซัม มีทั้งแคลเซียมและกำมะถันเป็นองค์ประกอบ จึงเป็นปุ๋ยที่ให้ธาตุรอง 2 ธาตุในการใส่ครั้งเดียว ธาตุกำมะถัน ที่ผลิตเป็นปุ๋ยเม็ดในปัจจุบัน โดยการผสมดินเหนียวหรือวัสดุพรุน เมื่อใส่ในดินที่มีความชื้น เม็ดปุ๋ยที่ผสมดินเหนียวจะแตกออกเป็นชิ้นเล็กๆ ส่วนเม็ดที่ผสมสารซึ่งมีความพรุนสูง อาจคงอยู่สภาพเดิม แต่กำมะถันในปุ๋ยนั้นจะถูกออกซิไดส์ไปอย่างรวดเร็ว เมื่อกำมะถันอยู่ในดินที่มีออกซิเจนเพียงพอ จุลินทรีย์ในดินที่ชื่อ Thiobacilus thiooxidans จะออกซิไดส์ให้กลายเป็นกรดซัลฟิวริก การเปลี่ยนแปลงนี้จะเพิ่มไฮโดรเจนไอออนในดิน ส่วนอนุมูลซัลเฟตก็เป็นประโยชน์ต่อพืชเช่นกัน แต่ถ้ากำมะถันอยู่ในดินที่ขาดออกซิเจน จุลินทรีย์จะรีดิวซ์ไนเทรตให้กลายเป็นแก๊สไนโตรเจน ขณะเดียวกันก็จะออกซิไดส์กำมะถันได้ซัลเฟต

 ปุ๋ยธาตุรอง5

แอมโมเนียมไทโอซัลเฟตหรือ ATS
เป็นปุ๋ยที่นิยมใช้ในอุตสาหกรรมปุ๋ยเหลวใส (clear liquid fertilizer) และปุ๋ยสารแขวนลอย (suspension fertilizer) ใช้ผสมกับปุ๋ยเหลวไนโตรเจนหรือปุ๋ยเหลวNPK ซึ่งมีปฏิกิริยาเป็นกลางหรือเป็นกรดเล็กน้อย แต่ห้ามผสมกับแอนไฮดรัสแอมโมเนียมหรือปุ๋ยเหลวอื่นที่มีปฏิกิริยาเป็นกรดรุนแรง

 

 

การใช้ปุ๋ยธาตุรอง


การใช้ปุ๋ยแคลเซียม


สมบัติทางเคมีที่สำคัญอย่างหนึ่งของดิน คือ ความอิ่มตัวด้วยเบส (base saturation) ซึ่งมีอิทธิพลต่อการดูดซึมธาตุอาหารของรากและการเจริญเติบโตของพืช เนื่องจาก pH ของดินมีความสัมพันธ์กับปริมาณของแคตไอออนแต่ละชนิด ที่ดูดซับบนผิวคอลลอยด์ดิน ปริมาณของอะลูมิเนียม-ไฮดรอกซิลไอออนที่ดูดซับลดลงเมื่อ pH ดินสูงขึ้นและเมื่อpHดินสูงขึ้น เบสที่แลกเปลี่ยนได้ดีมากขึ้น จึงเห็ฯได้ว่าเปอร์เซ้นความอิ่มตัวด้วยเบสของดินต่ำมากในดินที่เป็นกรดจัดและสูงมากเกินในดินที่เป็นด่างจัดเช่นกัน ดินที่มีโอกาสขาดแคลเซียมและแมกยนีเซียมจึงมักจะเป็นดินกรด สำหรับการเกิดผลการวิเคราะห์ดินที่แสดงระดับความพอเพียงของแคลเซียมและแมกนีเซียม คือ
-ระดับต่ำ แคลเซียมต่ำกว่า 200 มก./กก. และแมกนีเซียม น้อยกว่า 60 มก./กก.
-ระดับปานกลาง แคลเซียม 200-400 มก./กก. และแมกนีเซียม 60-120 มก./กก.
-ระดับสูง แคลเซียม มากกว่า 400 มก./กก. และแมกนีเซียม มากกว่า 120 มก./กก.

 


การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแคลเซียมมี 2 วิธี คือ


1.วิเคราะห์ดินหาความต้องการปูน (lime requirement) ของดินกรด ความต้องการของดิน หมายถึงอัตราแคลเซียมคาร์บอเนตบริสุทธิ์ ซึ่งมีหน่วย กก./ไร่ (ชั้นไถพรวน) ที่ใช้เพื่อยกระดับ pH จากเดิมมาเป็น 6.5 การใส่ปูนนอกจาจะช่วยเพิ่ม pH ของดินมาสู่ระดับที่ต้องการแล้ว ยังเพิ่มแคลเซียมเมื่อใช้หินปูนบดหรือแคลเซียมกับแมกนีเซียมเมื่อใช้ปูนโดโลไมต์
2.การใช้ปุ๋ยซูเปอร์ฟอสเฟตทุกชนิดและแคลเซียมไนเทรต จะช่วยเพิ่มแคลเซียมให้แก่ดินอีกทางหนึ่ง ดังนั้นหากใช้ปุ๋ยธาตุหลักซึ่งมีแคลเซียมเป็นองค์ประกอบอยู่แล้ว ก็จะช่วยลดปัญหาการขาดแคลนธาตุนี้ในดินลงได้อย่างสิ้นเชิง
3.หากดินไม่มีปัญหาด้านสภาพกรดและไม่จำเป็นต้องใส่ปูน แต่ดินมีแคลเซียมต่ำ ควรใส่ยิปซัมเพื่อยกระดับแคลเซียมที่แลกเปลี่ยนได้ชขึนมาเป็น 400 มก.Ca/กก.
4.หากต้องการแก้ไขปัญหาขาดแคลนแคลเซียมอย่างเร่งด่วน อาจใช้แคลเซียมไนเทรตละลายในน้ำในความเข้มข้น 1%Ca แล้วฉีดพ่นทางใบ

ปุ๋ยธาตุรอง2

การใช้ปุ๋ยแมกนีเซียม


เนื่องจากดินกรดมีความเป็นเบสต่ำ จึงมักมีปัญหาการขาดแคลเซียมและแมกนีเซียม การแก้ไขปัญหาการขาดแคลเซียมมี 4 วิธี ดังนี้
-การใช้ปูนโดโมไลต์เพื่อแก้ไขดินกรด โดยใช้ความต้องการของปูนในดินนั้นๆ เนื่องจากโดโมไลต์เป็นปุ๋ยที่มีแคลเซียมและแมกนีเซียมเป็นองค์ประกอบ ดินจึงได้ธาตุทั้งสองไปด้วย
-ใช้ปุ๋ยธาตุหลักซึ่งเพิ่มแมกนีเซียมในปุ๋ยเป็นการเฉพาะ
-ควรใช้ปุ๋ยแมกนีเซียมซัลเฟตหรือแมกนีเซียมคลอไรด์ในดินซึ่งมีแมกนีเซียมแลกเปลี่ยนต่ำกว่า 120 มก.Mg/กก.
-ฉีดพ่นสารละลายแมกนีเซียมซัลเฟตหรือแมกนีเซียมไนเทรต 1-2% ทางใบเพื่อแก้ปัญหาเฉพทะหน้า ในช่วงมี่มีการบำรุงดินด้วยการใส่โดโมไลต์ในดินกรดหรือปุ๋ยแมกนีเซียมชนิดอื่นๆทางดิน

 

การใช้ปุ๋ยกำมะถัน


โดยปกติกำมะถันในดินมีทั้งที่เป็นองค์ประกอบในเกลืออนินทรีย์ซึ่งอยู่ในรูปซัลเฟตกับเป็นองค์ประกอบในสารอินทรีย์ เช่น โปรตีนในอินทรียวัตถุ จึงอาจจำแนกได้ 2 รูปแบบ สำหรับระดับที่ขาดแคลนและเพียงพอของกำมะถันในดินแต่ละแบบ การแก้ไขการขาดแคลนกำมะถัน มี 2 วิธี คือ
1.ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในดินที่มีกำมะถันต่ำ เนื่องจากสารอินทรีย์เป็นแหล่งสำคัญของกำมะถัน
2.ใช้ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟตแทนยูเรีย


เกณฑ์การประเมินกำมะถันในดิน คือ


-ระดับที่ขาดแคลน มีซัลเฟตไอออน 0-6 มก./กก. ซัลเฟต 0-10 มก./กก.
-ระดับเพียงพอ มีซัลเฟตไอออน 7-12 มก./กก. ซัลเฟต 10-20 มก./กก.
-ระดับเกินพอ มีซัลเฟตไอออนมากกว่า 12 มก./กก. ซัลเฟต มากกว่า 20 มก./กก.
การใช้ปุ๋ยกำมะถัน ต้องคำนึงถึงความสมดุลระหว่างซัลเฟตกับโมลิบเดตในดินด้วย เมื่อดินได้รับซัลเฟตมากเกินไปจะทำให้พืชขาดแคลนโมลิบดีนัม เนื่องจากซัลเฟตและโมลิบเดตไอออนมีภาวะปฏิปักษ์ (antagonism) ต่อการใช้การดูดซึมนำไปใช้ของพืช กล่าวคือ พืชอาหารสัตว์ซึ่งปลูกในดินที่มีโมลิบดีนัมสูง อาจจะสะสมโมลิบดีนัมในเนื้อเยื่อ จนถึงระดับที่เป็นพิษต่อสัตว์เลี้ยง กรณีนี้การใส่ปุ๋ยกำมะถันในรูปของยิปซัมหรือกำมะถันผง จะลดความเข้มข้นของโมลิบดีนัมในพืชลงได้จนถึงระดับที่ปลอดภัย

 

ในบทความถัดไปเราจะมาพูดกันถึงปุ๋ยจุลธาตุ หรือธาตุอาหารเสริมของพืชกันบ้าง

 

ปุ๋ยธาตุรอง

ปุ๋ยธาตุรอง

ปุ๋ยธาตุรอง