ปุ๋ยละลายช้า
ปุ๋ยละลายช้า คืออะไร
ปุ๋ยละลายช้าเป็นปุ๋ยเคมีที่มีการพัฒนาขึ้นด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อให้ปุ๋ยเคมีมีประสิทธิภาพในการใช้งานมากขึ้น ดังนั้นเราจึงควรทราบถึงปัญหาในการใช้ปุ๋ยเคมีทาวไปและความหมายของปุ๋ยละลายช้าก่อน ดังนี้
ปัญหาของการใช้ปุ๋ยเคมีทั่วไป
ปุ๋ยหลักที่ใช้ในการเกษตรมากที่สุดคือ ไนโตรเจน และก็ยังเป็นปุ๋ยที่สูญหายไปจากดินมากที่สุด ทั้งการชะล้างจากดิน เช่น ไนเทรตถูกชะล้าง แอมโมเนียระเหยไปจากดิน (ammonia volatilization) หากลดการสูญเสียให้น้อยลง จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้ปุ๋ยให้สูงขึ้นช่วยประหยัดพลังงานในภาคเกษตรกรรม วิธีเพิ่มประสิทธิภาพของปุ๋ยไนโตรเจน มี 3 วิธี คือ แบ่งใส่หลายครั้งในช่วงเวลาที่เหมาสม ใช้สารยับยั้งไนตริฟิเคชันสำหรับปุ๋ยแอมโมเนียมและสารยับยั้งเอนไซม์ยูรีเอสกับปุ๋ยยูเรีย และสุดท้ายคือการใช้ปุ๋ยละลายช้า ความเป็นประโยชน์ของปุ๋ยเคมี (dissolution) และสภาพละลายได้ (solubility) ของปุ๋ยในสารละลายในดิน แต่ปุ๋ยที่ละลายง่ายและเป็นประโยชน์แก่พืชเร็วอาจะทำให้มีผลที่ไม่พึงประสงค์บางประการ เช่น ปุ๋ยไนโตรเจนมีโอกาสสูญหายได้มาก ส่วนปุ๋ยโพแทซและปุ๋ยฟอสเฟตถูกตรึงในดินที่ละเอียดมาก ทำให้ประสิทธิภาพในการให้ธาตุอาหารของพืชจากปุ๋ย (nutrient use efficiency) ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
การละลาย หมายถึงปรากฏการณ์ที่ตัวถูกละลาย (solute) รวมเข้ากับตัวทำละลาย (solvent) แล้วได้สารละลาย เมื่อใส่ปุ๋ยเคมีลงในน้ำที่กำหนดปริมาตร ปุ๋ยใดละลายน้ำได้มาก แสดงว่าปุ๋ยนั้นมีสภาพละลายน้ำได้สูง สภาพละลายได้ของปุ๋ยหมายถึง น้ำหนัก (กรัม) ของปุ๋ยที่ทำให้น้ำ 100 กรัม อิ่มตัวด้วยปุ๋ยนั้น ณ อุณหภูมิที่กำหนดให้ เช่น สภาพละลายน้ำได้ของแอมโมเนียมไนเทรต 87 กรัม/100กรัม อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส แต่แอมโมเนียมคลอไรด์มีค่าเพียง 37.2 กรัม เท่านั้น แสดงว่า แอมโมเนียมไนเทรตมีสภาพละลายน้ำได้สูงกว่าแอมโมเนียมคลอไรด์
ความหมายของปุ๋ยละลายช้า
ปุ๋ยละลายช้า เรานั้นรู้จักกันมานานแล้ว ในความหมายที่ว่า ปุ๋ยที่ปลดปล่อยธาตุอาหารออกมาให้พืชอย่างช้าๆ ในภาษาอังกฤษ 2 คำ ซึ่งมีความหมายต่างกันไป คือ controlled released fertilizers และ slow- release fertilizers คนทั่วไปมักไม่ทราบว่า 2 ประเภทนี้ต่างกันอย่างไร บาคนจึงใช้ในความหมายรวมกันว่า “ ปุ๋ยละลายช้า “ แต่ในทางวิชาการ ปุ๋ยควบคุมการปลดปล่อย (controlled released fertilizers, CRF) และปุ๋ยปลดปล่อยช้า (slow- release fertilizers, SRF) มีความหมายแตกต่างกัน ดังนี้
– ปุ๋ยควบคุมการปลดปล่อย (controlled released fertilizers, CRF) หมายถึง ปุ๋ยที่มีการผลิตให้สามารถควบคุมการปลดปล่อยธาตุอาหารได้ นอกจากนี้ยังทราบชัดเจนว่ามีปัจจัยใดบ้างที่มีอิทธิพลต่ออัตราและช่วงเวลาที่ปุ๋ยนั้นจะปลดปล่อยธาตุอาหาร ทั้งมีกลไกที่ควบคุมการปลดปล่อยอยู่แล้วในปุ๋ยที่ผลิต เช่น ปุ๋ยเคลือบ (coated fertilizer)
– ปุ๋ยปลดปล่อยช้า (slow- release fertilizers, SRF) หมายถึง ปุ๋ยที่มีการปลดปล่อยธาตุอาหารออกมาช้ากว่าปุ๋ยเคมีทั่วไป แต่ไม่สามารถควบคุมอัตราและช่วงเวลาในการปลดปล่อยอาหารได้มากนัก เนื่องจากอัตราการปลดปล่อยขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก เช่น ความชื้นของดินและกิจกรรมของจุลินทรีย์ดิน เป็นต้น ปุ๋ยประเภทนี้ ได้แก่ ยูเรียฟลอร์มาลดีไฮด์ (urea – formaldehyde)
จะสังเกตได้ว่าปุ๋ยควบคุมการปลดปล่อย เนื้อปุ๋ยภายในจะเป็นปุ๋ยที่ละลายน้ำได้สูง (high solubility) แต่เคลือบผิวเม็ดปุ๋ยไว้เพื่อเคลือบผิวเม็ดปุ๋ยไว้เพื่อควบคุม (control) การปลดปล่อย (release) จึงควรเรียกว่า “ ปุ๋ยควบคุมการปลดปล่อย (CRF) ” ส่วนปุ๋ยปลดปล่อยช้า เช่น ยูเรียฟลอร์มาลดีไฮด์เป็นปุ๋ยเคมีที่สังเคราะห์ขึ้นใหม่ จากยูเรียที่มีสภาพละลายน้ำได้สูงแต่เมื่อผ่านกระบวนการผลิตแล้ว เป็นปุ๋ยมีสภาพละลายน้ำได้ต่ำ (low solubility) และปลดปล่อยไนโตรเจนออกมาช้าตามสภาพละลายน้ำได้ จึงเรียกว่า “ ปุ๋ยปลดปล่อยช้า (SRF) “ เมื่อต้องการเรียกปุ๋ย 2 ชนิดนี้รวมกัน เรียกว่า “ SRF/CRFs “ ส่วนปุ๋ยแอมโมเนียมหรือยูเรียที่ผสมสารยับยั้ง (inhibitors) เพื่อทำให้ปุ๋ยเป็นประโยชน์ต่อพืชได้นานขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในดินที่มีประจุในการแลกเปลี่ยนแคตไอออนปานกลางถึงสูง จึงอาจจำแนกปุ๋ยแอมโมเนียมหรือยูเรียที่ผสมสารยับยั้ง เป็นปุ๋ยไนโตรเจนออกฤทธิ์ช้า (slow – acting nitrogen)
เราจำแนกปุ๋ยละลายช้า ตามองค์ประกอบและกระบวนการผลิต เป็น 3 ประเภท ดังนี้
- สารประกอบอินทรีย์ไนโตรเจนที่มีสภาพละลายน้ำได้ต่ำ (organic –N low – solubility compounds ) ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 พวก คือ สารประกอบที่เกิดจากการควบแน่น (condensation) ระหว่างยูเรียกับอาลดีไฮด์ เช่น ยูเรียฟอร์มาลดีไฮด์ ซึ่งสลายตัวด้วยกิจกรรมของจุลินทรีย์กับพวกที่ 2 เป็นสารประกอบอินทรีย์ซึ่งส่วนใหญ่สลายได้ด้วยปฏิกิริยาเคมี เช่น ไอโซบิวทิไลดีนไดยูเรีย (isobutylidene – diurea, IBDU) ปุ๋ยพวกนี้เป็น “ ปุ๋ยปลดปล่อยช้า “
- ปุ๋ยที่มีสิ่งกีดขวางทางฟิสิกส์ (physical barrier) เพื่อควบคุมการปลดปล่อยการปล่อยธาตุอาหาร ปุ๋ยมีลักษณะเป็นเม็ดเคลือบดดยรอบด้วยพอลิเมอร์ไม่ชอบน้ำ (hydrophobic polymers) หรือเป็นวัสดุพื้น (matrices) ซึ่งมีปุ๋ยกระจายอยู่ภายใน สำหรับเนื้อวัสดุดังกล่าวจะแทรกอยู่ระหว่างเนื้อปุ๋ยและจำกัดการละลายของปุ๋ยนั้น สำหรับปุ๋ยที่มีสารเคลือบแบ่งออกได้อีกเป็น 2 ประเภท คือ เคลือบผิวเม็ดด้วยพอลิเมอร์ เช่น พลาสติกหรือเรซิน (resins) และเคลือบผิวเม็ดด้วยอนินทรียสาร เช่น กำมะถัน สำหรับปุ๋ยละลายช้าชนิดใช้วัสดุพื้น (matrix – base slow – releasefertilizers) นั้น ใช้สารที่เป็นวัสดุพื้นยังแบ่งเป็นสารไม่ชอบน้ำ เช่น พอลิโอเลฟิน (polyolefines) และยาง นอกจากนี้ยังมีไฮโดรเจล (hydrogels) ซึ่งเป็นสารที่ชอบน้ำ ช่วยลดการละลายของปุ๋ย โดยอุ้มน้ำแล้วพองตัว สำหรับการใช้วัสดุพื้นในการผลิตยังมีน้อย ส่วนสารพวกไฮโดรเจล กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาผลิตภัณฑ์ ปุ๋ยจำพวกนี้เป็น “ ปุ๋ยควบคุมการปลดปล่อย (CRF) “
- สารประกอบอนินทรีย์ที่มีสภาพละลายน้ำต่ำ (inorganic – low – solubility compounds) ได้แก่ แมกนีเซียมแอมโมเนียมฟอสเฟต และหินฟอสเฟตที่ทำปฏิกิริยากับกรดบางส่วน (partially acidulated phosphate rock) ปุ๋ยพวกนี้เป็น “ ปุ๋ยปลดปล่อยช้า (SRF) “
สารประกอบอินทรีย์ไนโตรเจนที่มีสภาพละลายต่ำ
สารประกอบอินทรีย์ไนโตรเจนที่มีสภาพละลายน้ำได้ต่ำหรือปลดปล่อยช้ามีหลายชนิด สำหรับองค์ประกอบทางเคมี เปอร์เซ็นต์ไนโตรเจนในปุ๋ยและสภาพละลายน้ำได้ของปุ๋ยแต่ละชนิด
1. ผลิตภัณฑ์จากการควบแน่นระหว่างยูเรียกับฟอร์มาลดีไฮด์ (urea – formaldehyde condensation products) ปฏิกิริยาควบแน่น (condensation reaction) หมายถึง ปฏิกิริยาซึ่งโมเลกุล 2 โมเลกุลหรือมากกว่ามารวมกันเป็นโมเลกุล แล้วปล่อยโมเลกุลเล็กๆออกมา ผลิตภัณฑ์จากการควบแน่นระหว่างยูเรียกับฟอร์มาลดีไฮด์ หมายถึงสารประกอบที่ได้จากปฏิกิริยาระหว่างยูเรียกับฟอร์มาลดีไฮด์ โดยมีสัดส่วนระหว่างของวัตถุดิบทั้งสองระหว่าง 1.2:1 ถึง 1.9:1 กับควบคุม pH อุณหูมิและช่วงเวลาของการทำปฏิกิริยาให้เหมาะสม สารประกอบที่เกิดจากปฏิกิริยานี้มีหลากหลายชนิด ตั้งแต่ยูเรียที่ยังไม่ทำปฏิกิริยา ไดเมอร์ (dimers) และโอลิโกเมอร์ (oligomers) ได้แก่ โมโนเมทีลอลยูเรีย (monomethylol urea) ไดเมทีลอลยูเรีย (dimethylol urea, DMU) และเมทีลีนยูเรียแบบต่างๆ เช่น ไดเมทีลีนไตรยูเรีย (dimethylene triurea)
การใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาต่างกัน มีผลต่อชนิดของสารประกอบที่เกิดขึ้น เช่น เมื่อใช้เบสจะได้สารประกอบที่ละลายน้ำได้ง่ายขึ้น เช่น เมทีลอลยูเรียและโมโนเมทีลีนยูเรีย แต่ถ้าเติมกรด จะได้สารประกอบที่มีโว่ยาว จึงละลายน้ำยากและปลดปล่อยไนโตรเจนช้าลง ปุ๋ยจึงประกอบด้วยสารต่างๆที่มีขนาดของโมเลกุลต่างกัน เรียกว่า “ ยูเรียฟอร์ม (urea form) “ โดยปกติผลิตภัณฑ์ยูเรียฟอร์มมีไนโตรเจน 37-40 % วิธีการประเมินการปลดปล่อยไนโตรเจนของปุ๋ยยูเรียฟอร์ม ใช้ข้อมูลจากการวิเคราะห์ 3 ส่วน (fraction) ดังนี้ – ไนโตรเจนละลายในน้ำเย็น (cold water soluble N, CWSN) ประกอบไปด้วยไนโตรเจนจากยูเรีย ไดเมอร์ (เช่น เมทิลีนไดยูเรีย) และสารประกอบโซ่สั้น (เช่น ไดเมทิลีนไตรยูเรีย) ไนโตรเจนส่วนนี้ให้ประโยชน์ต่อพืชได้ง่าย
– ไนโตรเจนละลายในน้ำร้อน (hot water soluble N, HWSN) ประกอบไปด้วยไนโตรเจนจากเมทิลีนยูเรียโซ่ขนาดปานกลาง ไนโตรเจนส่วนนี้เป็นประโยชน์ต่อพืชอย่างช้าๆ
– ไนโตรเจนไม่ละลายน้ำร้อน (hot water insoluble N, HWIN) ประกอบไปด้วยไนโตรเจนจากเมทิลีนยูเรียโซ่ขนาดปานกลางถึงโซ่ยาว ไนโตรเจนส่วนนี้เป็นประโยชน์ต่อพืชช้ามากหรือไม่เป็นประโยชน์เลย ดังนั้น HWSN
– CWSN = ไนโตรเจนที่ไม่ละลายน้ำเย็น (CWIN) นำไปคำนวณหา activity index (AI) คือ AI = (CWIN – HWIN) x 100/CWIN หากค่า AI ที่คำนวณได้มีค่า 40-60 คาดว่าปริมาณของส่วนที่ปลดปล่อยไนโตรเจนได้คลอบคลุมในช่วงเวลา 6 เดือนนั้น มีสัดส่วนที่สูงเพียงพอสำหรับการปลดปล่อยธาตุอาหารจากปุ๋ยยูเรียฟอร์ม
2. ยูเรีย
แอลดีไฮด์ชนิดอื่นๆ นอกจากยุเรียฟอร์มแล้ว ยังมีสารประกอบไนโตรเจนที่ผลิตได้จากปฏิกิริยาระหว่างยูเรียกับแอลดีไฮด์อีกหลายชนิด แต่ที่สำคัญมีเพียง 3 ชนิด คือ
– ไอบีดียู (isobutylidene diurea, IBDU) ผลิตได้จากปฏิกิริยาระหว่างยูเรียกับไอโซบิวทิลแอลดีไฮด์ (isobutylaldehyde) ผลิตภัณฑ์นี้มีไนโตรเจน 31 % และส่วนมากไม่ละลายน้ำ ปุ๋ยจะมีลักษณะเป็นผงสีขาว ไนโตรเจนทั้งหมดร้อยละ 32 ละลายน้ำได้เพียง 0.01 ถึง 0.1 กรัม ต่อน้ำ 100 กรัม การปลดปล่อยไนโตรเจนของปุ๋ยเกิดจากการแยกสลายตัวด้วยน้ำ (hydrolysis) ดังนั้นอัตราการปลดปล่อยจึงขึ้นอยู่กับขนาดของเม็ดปุ๋ย ความชื้นของดินเป็นหลัก ค่า pH ในดิน และอุณหภูมิในดินอีกด้วย
– ยูเรียไตรอะโซน (urea triazone) ผลิตจากยูเรีย แอมโมเนียและฟอร์มาลดีไฮด์ ได้สารประกอบที่มีอะตอมเรียงกันเป็นวงแหวน ซึ่งในสารประกอบนี้มีไนโตรเจน 3 อะตอม ปุ๋ยในรูปของเหลวไนโตรเจนประมาณ 28 %
– ซีดียู (crotonylidene diurea, CDU)ผลิตได้จากปฏิกิริยาระหว่างยูเรียกับแอซีตาลดีไฮด์ มีกรดเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา โดยปฏิกิริยาดำเนินไปหลายขั้นตอน ในทีสุดได้สารประกอบที่มีโครงสร้างเป็นวงแหวน มีไนโตรเจน 32 % สำหรับการปลดปล่อยไนโตรเจนนั้นใช้กลไก 2 แบบ คือ ปฏิกิริยาแยกสบายด้วยน้ำและการสลายโดยกิจกรรมของจุลินทรีย์ ดังนั้นอัตราการปลดปล่อยธาตุอาหาร จึงขึ้นอยู่กับขนาดเม็ดปุ๋ยกับสมบัติของดิน คือ pH อุณหภูมิและความชื้น
3. ปุ๋ยเคลือบ (coated fertilizers)
การเคลือบเม็ดปุ๋ยนั้นมีไว้เพื่อควบคุมอัตราการละลายของเม็ดปุ๋ย มีหลักการดังนี้ เคลือบผิวมีความหนาตามแบบที่กำหนด เพื่อให้ได้ปุ๋ยที่ละลายในอัตราที่ต้องการ มีวิธีการเคลือบที่แน่นอนเพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพตามมาตรฐาน สำหรับสารที่ใช้เคลือบ ได้แก่ กำมะถันและสารพอลิเมอร์ (polymer) ชนิดต่างๆ
A. ยูเรียเคลือบด้วยกำมะถัน (sulfer – coated urea หรือ SCU) วิธีเคลือบยูเรียชนิดเม็ดด้วยกำมะถันมีขั้นตอน ดังนี้
a.นำเม็ดปุ๋ยมาทำให้ร้อน
b.หลอมกำมะถันที่อุณหภูมิ 156 องศาเซลเซียส แล้วพ่นไปเคลือบเม็ดปุ๋ยยูเรีย ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีไนโตรเจน 31 และ 38 % แต่ถ้าเคลือบเพียงกำมะถันอย่างเดียว ผิวของเม็ดปุ๋ยจะมีรูพรุนมากเกินไป จะทำให้ควบคุมการละลายได้ไม่ดีนัก จึงมีการคิดค้นการแก้ไขโดยการผสมสารอีก 2 ชนิดลงไป คือ การใช้ไขเป็นวัสดุอุดรูรั่ว (wax sealant) เพื่อกันการซึมของน้ำ กับอีกชนิดคือ เพิ่มสารควบคุมกิจกรรมของจุลินทรีย์ (microbiocide) เพื่อป้องกันมิให้จุลินทรีย์ออกซิไดส์กำมะถันเร็วเกินไป
c.เคลือบชั้นนอกสุดด้วยวัสดุปรับสภาพปุ๋ย (conditioner) เช่น ดินเหนียวแอตตาปุลไจต์ (attapulgite)
อัตราการปลดปล่อยไนโตรเจนจากปุ๋ยขึ้นอยู่กับคุณภาพของการเคลือบซึ่งมีการกำหนดเกณฑ์ไว้ดังนี้ เม็ดปุ๋ยที่ผ่านการเคลือบแล้วแบ่งได้เป็น 3 ส่วนเท่าๆกัน คือ ส่วนที่ 1 มีรอยร้าวที่ผิวเคลือบ ส่วนที่ 2 สมานรอยร้าวบนผิวเคลือบไขแล้ว และส่วนที่ 3 เคลือบหนาและผิวเคลือบสมบูรณ์ เมื่อใส่ปุ๋ยลงดิน ปุ๋ยส่วนแรกจะละลายน้ำและยูเรียก็จะละลายออกมาเป็นประโยชน์ต่อพืชทันที สำหรับส่วนที่ 2 และ 3 จะทยอยปล่อยออกมา โดยส่วนที่ 3 จะใช้เวลาในการละลายนานที่สุด สำหรับปริมาณของยูเรียในเม็ดปุ๋ยที่เคลือบหนาและสมบูรณ์นี้เรียกว่า “ locked off “ ซึ่งยืดเวลาการปลดปล่อยได้นานกว่าสองส่วนแรก
B. ยูเรียเคลือบด้วยกำมะถันและเคลือบทับด้วยพอลิเมอร์ (polymer coating of SCU) เนื่องจากยูเรียที่เคลือบเพียงกำมะถันอย่างเดียวจะควบคุมการปลดปล่อยยูเรียจากเม็ดปุ๋ยได้ไม่ค่อยดีนัก จึงมีการปรับเปลี่ยนวิธีการ โดยใช้วิธีเคลือบพอลิเมอร์พวกเทอร์โมพลาสติก (thermoplastic) หรือเรซิน (resin) เพิ่มอีกชั้นหนึ่ง จะได้ปุ๋ยที่เรียกกันว่า PSCU (polymer coated SCU) สำหรับสมบัติด้านการควบคุมการปลดปล่อยธาตุอาหารดีกว่า SCU มาก นอกจากนี้ชั้นพอลิเมอร์ที่เคลือบทับยังช่วยเพิ่มความทนทานต่อการขัดสี (attrition resistance) ระหว่างเม็ดปุ๋ยข้างเคียงอีกด้วย
C. ปุ๋ยเคลือบด้วยสารพอลิเมอร์อินทรีย์ (fertilizers coated with organic polymers) หมายถึงปุ๋ยที่เคลือบด้วยเนซินและเทอร์มอพลาสติกพอลิเมอร์ ดังนี้
a.ปุ๋ยเคลือบด้วยเรซิน (resin – coated fertilizers) เรซินสังเคราะห์ หมายถึง พอลิเมอร์ที่สังเคราะห์ขึ้นในรูปของเม็ดหรือผง ยังไม่ได้นำไปผ่านกระบวนการแปรรูปทำเป็นผลิตภัณฑ์ โครงสร้างระหว่างโมเลกุลมีลักษณะของการเชื่อมไขว้ (crosslink) เป็นพอลิเมอร์ที่มีสมบัติไม่ชอบน้ำ (hydrophobic polymer) สำหรับเรซินที่ใช้เคลือบผิวเม็ดปุ๋ยเป็นพวกที่สลายได้เมื่อโดนความร้อนสูง (themosettic resin) เรซินที่ใช้เคลือบผิวเม็ดปุ๋ยมี 2 ชนิด คือ อัลกิด เรซิน (alkyd resin) คือพลาสติกชนิดหนึ่ง เตรียมจากปฏิกิริยาพอลิเมอร์ไรเซซันแบบควบแน่น (condensation polymerization) ระหว่างไดไซโคลเพนทาไดอีน (dicyclopentadiene) กับกลีเซอรอลเอสเทอร์ (glycerol ester) พลาสติกชนิดนี้ เกิดการเชื่อมไขว้ระหว่างโมเลกุล จึงไม่ละลายในตัวทำละลายอินทรีย์ทั่วไปและสารคล้ายพอลิยูรีเทน (polyurethanelike compound) ซึ่งผลิตจากปฏิกิริยาระหว่างไดไอโซไซนยาเนต (di – isocyanate) กับแอลกอฮอล์ที่มี – OH อยู่หลายหมู่หรือพอลิออล (polyols)
การเคลือบด้วยเรซินชนิดนี้ มีลักษณะพิเศษแตกต่างจากเรซินชนิดอื่นคือ พอลิไอโซไซยาเนตทำปฏิกิริยากับเนื้อปุ๋ยที่ผิวเม็ด สารเคลือบจึงติดแน่นและช่วยเพิ่มความต้านทานต่อการกร่อน การขัดสีระหว่างเม็ดปุ๋ย ทำให้ช่วยเคลือบปุ๋ยด้วยเรซินแบบแกรนูลาร์และแบบพริล (prilled fertilizer) ได้อย่างกว้างขวาง ปุ๋ยที่อยู่ภายในสารเคลือบนั้นจะละลายน้ำได้ง่าย จะเป็นปุ๋ยยูเรียหรือปุ๋ยเชิงประกอบที่จุลธาตุหรือไม่มีจุลธาตุก็ได้ ปัจจัยด้านการเคลือบที่ควบคุมการปลดปล่อยธาตุอาหารออกจากเม็ดปุ๋ยต่างกัน มี 2 ประเภท คือ ใช้เรซินที่มีองค์ประกอบต่างกัน ซึ่งแต่ละอย่างมีสมบัติในการยอมให้น้ำซึมผ่านไม่เท่ากันและเคลือบผิวเม็ดปุ๋ยให้มีความหนาต่างกัน และสำหรับปัจจัยภายนอกที่ควบคุมการปลดปล่อยธาตุอาหารจากปุ๋ย คือ อุณหภูมิ ในสภาพที่วัสดุปลูกมีอุณหภูมิสูง อัตราการปลดปล่อยจะสูงกว่าที่มีอุณหภูมิต่ำ ดังนั้น ช่วงเวลาการปลดปล่อยธาตุในแถบฤดูร้อนจะสั้นหว่าในแถบฤดูหนาว ซึ่งผู้ผลิตจะเป็นผู้ระบุว่าปุ๋ยจะปลดปล่อยธาตุอาหารได้เป็นเวลากี่เดือน ในแต่ละแถบจะต่างกัน และปัจจัยอื่นๆ เช่น การทำงานของจุลินทรีย์ดิน pH และความชื้นในดิน แทบจะไม่มีผลต่อการปลดปล่อยธาตุอาหารของปุ๋ยประเภทนี้
b.ปุ๋ยเคลือบด้วยเทอร์มอพลาสติกพอลิเมอร์ (thermoplastic polymer – coated fertilizers) พอลิเมอร์ที่ใช้เคลือบเม็ดปุ๋ยคือ พอลิเอทิลิน (polyethylene, PE) วิธีการเคลือบมีดังนี้
– นำพอลิเอทิลินมาละลายในตัวทำละลายพวกคลอริเนเท็ดไฮโดรคาร์บอน
– นำสารละลายที่ได้ไปฉีดพ่นบนผิวเม็ดปุ๋ยในเครื่องปฏิกรณ์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ
– สำหรับการควบคุมอัตราการปลดปล่อยธาตุอาหารออกจากเม็ดปุ๋ย ส่วนที่ผสมระหว่างพอลิเอทิลินซึ่งยอมให้น้ำซึมผ่านได้ช้ากับเอทิลิน – ไวนิล – แอซิเตต ซึ่งยอมให้น้ำซึมได้เร็ว
– วิธีการลดอิทธิพลของอุณหภูมิต่ออัตราการปลดปล่อยธาตุอาหารทำได้โดยการเติมฝุ่นของแร่ระหว่างการเคลือบ ซึ่งมีผลในการควบคุม Q10 (คือ การเปลี่ยนแปลงของอัตราการปลดปล่อยธาตุอาหาร เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น 10 องศาเซลเซียส) ของการปลดปล่อยให้มีค่าระหว่าง 1.5 – 2.0
เทคโนโลยีการเคลือบผิวเม็ดปุ๋ยด้วยเทอโมพลาสติกพอลิเมอร์นี้ ใช้ได้กับปุ๋ยแบบแกรนูลาร์และแบบพริลทั่วไป ส่วนวิธีการควบคุมอัตราการปลดปล่อย คือ ปรับสัดส่วนของพอลิเอทิลีนกับเอทิลีน – ไวนิล – แอซิเตต (ethylene vinyl acetate, EVA) และปรับเปอร์เซ็นต์ของฝุ่นแร่ที่เติมระหว่างการเคลือบ ให้ได้ปุ๋ยที่ปลดปล่อยธาตุอาหารเร็ว ปานกลาง ช้าและช้ามาก แล้วนำปุ๋ยเหล่านั้นผสมกันในสัดส่วนที่ต้องการ สำหรับปุ๋ยยูเรียเคลือบพอลิโอเลฟิน (polyolefin coated urea, POCU) นั้น ความสัมพันธ์ระหว่างสัดส่วนของพอลิเอทิลิน (PE) กับเอทิลีน – ไวนิล – แอซิเตต (EVA) ในสารเคลือบ ต่อการปลดปล่อยยูเรีย (จำนวนวันที่ยูเรียร้อยละ 80 ถูกปลดปล่อยออกมาจากเม็ดปุ๋ยที่อุณภูมิ 25 องศาเซลเซียส)
4.ปุ๋ยละลายช้าชนิดใช้วัสดุพื้น (matrix – based slow – release fertilizers) และอื่นๆ
ปุ๋ยละลายช้าชนิดใช้วัสดุพื้น
การผลิตปุ๋ยละลายช้าโดยผสมปุ๋ยเคมีลงวัสดุพื้น เป็นวิธีหนึ่งที่คาดว่าจะช่วยลดการละลายและปลดปล่อยธาตุอาหาร ได้มีผู้ทอลองผลิตโดยใช้ยางพารา สารที่มีเจลเป็นพื้น (gel – based material) และเทอโมพลาสติกพอลิเมอร์ แต่ปุ๋ยที่ได้ไม่มีสมบัติปุ๋ยละลายช้าที่ดี จึงมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อหาวัสดุพื้นชนิดอื่นๆที่เหมาะสมกว่า รูปแบบของปุ๋ยที่มีการพัฒนาออกมานั้นมีมากมาย เช่น เป็นเม็ดโตและเป็นแท่งปลายแหลมเพื่อแทงหรือตอกลงในดิน แต่ยังคงต้องมีการพัฒนาต่อไปอีก
ปุ๋ยอนินทรีย์สภาพละลายต่ำ (low – solubility inorganic fertilizers )
– โลหะ – แอมโมเนียมฟอสเฟต ปุ๋ยนี้มีไนโตรเจนทั้งหมดประมาณ 10 % ส่วนฟอตเฟสสูงกว่าไนโตรเจนและยังใช้โพแทสเซียมเป็นองค์ประกอบเพื่อผลิตเกลือโพแทสเซียมแอมโมเนียมฟอสเฟต เนื่องจากเป็นปุ๋ยไนโตรเจนต่ำ จึงทำให้ปุ๋ยปลดปล่อยธาตุอาหารได้ยาก จึงไมค่อยเป็นที่นิยม
– หินฟอสเฟตที่ทำปฏิกิริยากับกรดบางส่วน (partially acidulated phosphate rock, PAPR) ปุ๋ยนี้มีสภาพละลายน้ำได้ต่ำ จึงจัดเป็นปุ๋ยละลายช้า สำหรับดินเนื้อหยาบ ที่เป็นกรดเล็กน้อยถึงปานกลาง แต่ถ้าดินมีการตรึงฟอสฟอรัสสูง เมื่อปุ๋ยละลายออกมา ส่วนนั้นจะถูกตรึงเป็นรูปที่ละลายยากเช่นกัน
5.การปลดปล่อยธาตุอาหารจากปุ๋ยละลายช้า
การออกแบบปุ๋ยควบคุมมาเป็นประโยชน์ มีเป้าหมายที่จะควบคุมการปลดปล่อยธาตุอาหารออกสู่ดินให้สอดคล้องกับความต้องการของพืช เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ธาตุอาหารจากปุ๋ย จึงควรทราบถึงกลไกของปุ๋ยละลายช้าแต่ละชนิด
สารประกอบอินทรีย์ไนโตรเจนละลายช้า
-ผลิตภัณฑ์การควบแน่นระหว่างยูเรียกับแอลดีไฮด์ การปลดปล่อยไนโตรเจนของยูเรียฟอร์ม ส่วนใหญ่เกิดจากการสลายตัวของกิจกรรมของจุลินทรีย์ดิน มีการย่อยสลายประกอบโซ่สั้นและโซ่ปานกลาง มีโมเลกุลเล้กลงและละลายน้ำได้ อัตราการสลายตัวของปุ๋ยจึงขึ้นอยู่กับสมบัติของดินที่มีการเจริญเติบโตและกิจกรรมของจุลินทรีย์ เช่น เนื้อดิน pH อุณหภูมิและความชื้น เป็นต้น ดังนั้น ในการผลิตปุ๋ยจึงควรคำนึงถึงสัดส่วนของสารประกอบยูเรีย โมโนเมอร์ ไดเมอร์ ตลอดจนสารที่มีความยาวโซ่ขนาดต่างๆที่ควรมีในปุ๋ยให้เมาะสมกับพืช ส่วนมากจะเป็นชนิดโซ่สั้น พืชที่ได้รับไนโตรเจนมากเกินไปตอนเริ่มปลดปล่อย หรือเรียกกันว่าทะลัก (burst) จะทำให้ธาตุอาหารมีไม่เพียงพอในช่วงหลังเนื่องจากปุ๋ยส่วนที่เหลือมีน้อย (tailing effect) ถ้ามีสัดส่วนของสารประกอบโซ่ยาวสูงพืชอาจจะขาดแคลนไนโตรเจนในช่วงแรกของการเจริญเติบโต เพราะการปลดปล่อยของปุ๋ยโซ่ยาวจะไม่ค่อยสมดุลกับการดูดซึมไนโตรเจนไปใช้ของพืช ทั้งยังมีปัจจัยต่างๆที่เข้ามาร่วมด้วยในการปลดปล่อยไนโตรเจนของปุ๋ยที่ผลิตจากการควบแน่นระหว่างยูเรียกับแอลดีไฮด์อีกด้วย
– ไอบีดียู การปลดปล่อยไนโตรเจนของปุ๋ยไอบีดียูเกิดจากสารประกอบนี้ทำปฏิกิริยาแยกสลายด้วยน้ำ นอกจากนี้อัตราการปลดปล่อยยังขึ้นอยู่กับ pH และอุณหภูมิของดินอีกด้วย
– ซีดียู การปลดปล่อยไนโตรเจนของปุ๋ยซีดียู เกิดจากปฏิกิริยาแยกสลายด้วยน้ำและการสลายด้วยกิจกรรมของจุลินทรีย์ ดังนั้นอัตราการปลดปล่อยของธาตุอาหารจึงขึ้นอยู่กับขนาดของเม็ดปุ๋ยกับสมบัติของดิน pH อุณหภูมิและความชื้น
ปุ๋ยเคลือบ
ปุ๋ยที่มีสารไม่ชอบน้ำ เช่น พอลิเมอร์เคลือบ ผิวเคลือบสามารถควบคุมการปลดปล่อยของธาตุอาหารได้ดีและอัตราการปลดปล่อย สำหรับแบบอย่าง (pattern) มีทั้งแบบพาราโบลา (parabolic release) เชิงเส้น (liner) และแบบซิกมอยด์ การปลดปล่อยที่มีลักษณะเชิงเส้นและแบบซิกส์มอยด์ สอดคล้องกับแบบอย่างการดูดธาตุอาหารของพืชมากกว่าแบบพาราโบลา แม้ว่าแบบซิกมอยด์จะมีช่วงการชะลอการปลดปล่อย (lag period) จึงมีผู้ทำการศึกษากลไกการปลดปล่อยธาตุอาหารจากปุ๋ยประเภทนี้มากพอสมควร
– ยูเรียเคลือบด้วยกำมะถัน เป็นแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่มาอธิบายการปลดปล่อยยูเรียสู่ดิน จากปุ๋ยยูเรียที่เคลือบด้วยกำมะถัน ลักษณะของเม็ดปุ๋ยจะมีรอยร้าวหรือรูเล็กๆซึ่งมีไขหรือพลาสติกอุดไว้ เมื่อผิวเคลือบถูกจุลินทรีย์ย่อย ก็จะมีรูที่น้ำสามารถซึมเข้าไปได้ สารละลายยูเรียจึงแพร่ออกมาทางรู ทั้งนี้ยังมีเรื่องของอุณหภูมิและความชื้นในดินที่มีผลต่อการแพร่ของสารละลายอีกด้วย
– ปุ๋ยเคลือบด้วยสารพอลิเมอร์ มีการปลดปล่อยธาตุอาหารด้วยการแพร่ดังนี้ การปลดปล่อยด้วยหลักการทั่วไป มีหลายระยะ ดังนี้ ระยะแรกจะเป็นการซึมของน้ำ (ส่วนมากเป็นไอน้ำ) ผ่านเคลือบผิว หากความดันภายในเม็ดปุ๋ยสูงกว่าความต้านทานของวัสดุที่หุ้มเม็ดปุ๋ยอยู่ ผิวเคลือบก็จะแตกออก เนื้อปุ๋ยทะลักออกมาทั้งหมดในทันที จึงเรียกการลำดับเหตุการณ์นี้ว่า “ กลไกล้มเหลว “ (failure mechanism) หรือการปลดปล่อยแบบล้มละลาย แต่ถ้าผิวหุ้มเม็ดปุ๋ยยังสามารถทนต่อแรงดันภายในได้ดี ปุ๋ยก็จะถูกปลดปล่อยด้วยการแพร่ เนื่องจากความเข้มข้นภายในมากกว่าภายนอก และการเคลื่อนมวล (mass flow) เนื่องจากแรงดันภายในสูงกว่า สำหรับกลไกล้มเหลวหรือการปลดปล่อยแบบล้มละลายมักเกิดกับเม็ดปุ๋ยที่มีการเคลือบที่ไม่ดี เปราะง่ายและไม่ยืดหยุ่น เช่น กำมะถันหรือสารอนินทรีย์อื่นๆ ส่วนการปลดปล่อยปุ๋ยที่เคลือบด้วยพอลิเมอร์ เช่น อัลกิดเรซินและพอลิโอเลฟิน (โอเลฟินหรืออาลคีน คือ ไฮโดรคาร์บอนที่ไม่อิ่มตัวและมีพันธะคู่ในโมเลกุลอย่างน้อยหนึ่งคู่) จะไม่มีปัญหาดังกล่าว
ในปุ๋ยเม็ดหนึ่งจะปลดปล่อยธาตุอาหารแบบล้มเหลวได้เพียงหนึ่งครั้ง แต่กลไกการแพร่จะปลดปล่อยออกมาทีละน้อยๆ ในการปลดปล่อยด้วยการแพร่ มีทั้งสิ้น 3 ระยะด้วยกัน คือ ระยะแรกจะเป็นระยะที่ไม่มีการปลดปล่อย(lag period หรือ ช่วงนิ่ง) เป็นระยะที่เกิดไอน้ำซึมเข้าไปในเม็ดปุ๋ยช้าๆ และเริ่มละลายปุ๋ยที่อยู่ใกล้ผิวเคลือบก่อน ช่วงนี้จะมีพลังขับเคลื่อนที่เกิดจากความแตกต่างของความดันไอ (vapor pressure) ระหว่างสารเคลือบทั้ง 2 ด้าน เมื่อไอน้ำเข้าไปภายในชั้นผิวเคลือบ ก็จะเข้าอยู่ในเฉพาะที่ช่องว่างที่จำกัดสองส่วน คือ รูพรุนภายในเนื้อปุ๋ยและช่องว่างระหว่างผิวเคลือบ สิ่งเหล่านี้ทำให้น้ำหนักของเม็ดปุ๋ยเพิ่มขึ้นทีละน้อย แรงดันภายในสุงขึ้นและปริมาตรปุ๋ยโตขึ้น โดยเฉพาะเม็ดปุ๋ยที่เคลือบด้วยอัลกิดเรซิน สำหรับเวลาที่ใช้ในช่วงนิ่ง คือช่วงที่ทำให้ช่องทั้งหมดที่มีของเหลวเต็ม ช่วงนิ่งนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อสารละลายปุ๋ยเริ่มดันตัวเคลือบออกมาและเป็นจุดเริ่มต้นของระยะที่ 2 ในระยะที่ 2 คือ ระยะปลดปล่อยคงที่ ตราบใดที่สารละลายอิ่มตัวของปุ๋ยยังคงสมดุลกับปุ๋ยแข็งที่เหลืออยู่ในเม็ด เนื่องจากความเข้มข้นของสารละลายปุ๋ยซึ่งอิ่มตัวและคงที่ ทำให้เกรเดียนซ์ความเข้มข้น (concentration gradient) และแกรเดียนซ์และแรงดัน (pressure gradient) คงที่ จึงเป็นปัจจัยกำหนดค่าของแรงที่ใช้สำหรับขับปุ๋ยให้ออกมาภายนอกอัตราคงที่ระยะนี้ ปริมาตรของเม็ดปุ๋ยจะคงที่ แสดงว่าปริมาตรซึ่งลดลงเนื่องจากการเคลื่อนที่ของปุ๋ยออกไปและได้มีน้ำจากภายนอกเข้ามาชดเชยในปริมาณที่ใกล้เคียง และระยะที่ 3 คือ ระยะปลดปล่อยลงทีละน้อย เกิดขึ้นเมื่อปุ๋ยในเม็ดได้ละลายออกหมด แรงที่ใช้ในการขับเคลื่อนก็จะเริ่มลดลงไปเรื่อยๆ ช่วงท้ายปุ๋ยจะออกมาน้อยมากจนกระทั่งหมดไป
6. การใช้ปุ๋ยละลายช้า
ปุ๋ยละลายได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้โดยไม่ต้องแบ่งใส่บ่อยครั้งและต้องให้พืชได้รับธาตุอาหารอย่างต่อเนื่อง แต่การที่ต้องนำปุ๋ยเคมีมาเข้าสู่กระบวนการผลิตปุ๋ยละลายช้าและมีการเพิ่มเสริมธาตุอื่นๆที่ไม่ใช่ธาตุอาหารลงไปในปุ๋ย ทำให้ธาตุอาหารลดลง ราคาต่อหน่วยน้ำหนักธาตุอาหารจึงแพงกว่าปุ๋ยเคมีทั่วไปหลายเท่า ปุ๋ยนี้จึงใช้ในวงจำกัด ส่วนใหญ่จะเป็นประเทศที่เกษตรกรผลิตปุ๋ยเอง และมักจะใช้กับพืชที่ให้ผลตอบแทนสูงต้องบำรุงเป็นอย่างดีและค่าจ้างแรงงานแพง
การใช้ปุ๋ยละลายช้าในเรือนเพาะชำและไม้กระถาง
ประมาณร้อยละ 65 ของปุ๋ยละลายทั้งหมด ถูกนำไปใช้ในเรือนเพาะชำและไม้กระถาง ในพืชที่ปลูกในกระถางและในถุงนั้น มีมวลของดินในปริมาณที่จำกัด เช่น ไม้ดอกไม้ประดับ ต้นพันธุ์ส้ม กล้าปาล์มน้ำมันและกล้าไม้โตเร็ว ปุ๋ยละลายช้าสามารถปลดปล่อยธาตุอาหารให้แก่พืชได้สม่ำเสมอและต่อเนื่องมากกว่าปุ๋ยเคมีทั่วไป นอกจากนี้ปุ๋ยละลายช้ายังไม่มีปัญหาเรื่องการสะสมเกลือในกระถางและต้องให้น้ำส่วนเกินเพื่อล้างเกลือออกเหมือนการใช้ปุ๋ยเคมีตามปกติ ส่วนการเตรียมต้นกล้าในกระบะซึ่งมีการใช้ปุ๋ยร่วมกับการใช้น้ำ (fertigation) หากใช้ร่วมกับปุ๋ยละลายช้าจะยิ่งทำให้ได้ผลดีขึ้น
7. การประเมิน (evaluation) และการแสดงลักษณะ (characterization) ของปุ๋ยละลายช้า
ในการใช้งานปุ๋ยละลายช้า ด้านผลการใช้มีดังนี้ เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ธาตุอาหาร ประหยัดแรงงานหรือค่าใช้จ่ายในการใส่ เพิ่มผลผลิตและคุณภาพของผลผลิต เมื่อมีการใช้นอกฟาร์มการประเมินทั้งผลเชิงปริมาณ คุณภาพและความพึงพอใจ มักได้ผลตามความคาดหมาย แต่ในการใช้กับพืชเศรษฐกิจอื่นๆในสภาพไร่นา พบว่าการใช้ปุ๋ยแบบเดิมยังไม่เพียงพอ จึงควรมีการประเมินและนำเสนอข้อมูลที่ก้าวหน้า เช่น การเปรียบเทียบข้อมูลของการใส่ปุ๋ยละลายช้าในอัตราที่ต่ำกว่าแต่กลับให้ผลดีกว่าการใช้ปุ๋ยเคมีตามปกติ การศึกษาเหล่านี้เป็นพื้นฐานของการประเมินผลกำไรจากการใช้ปุ๋ยละลายช้า เนื่องจากปุ๋ยละลายช้ามีราคาแพงกว่าปุ๋ยเคมีหลายเท่านั่นเอง
ผลด้านสิ่งแวดล้อมของการใช้ปุ๋ยละลายช้า
ในประเทศทวีปอเมริกาเหนือและยุโรปมีการใช้ปุ๋ยเคมีกันอย่างแพร่หลายและมีการตระหนักถึงผลจากการใช้ปุ๋ยที่กระทบในด้านสิ่งแวดล้อมเนื่องจากใช้ปุ๋ยเคมีในอัตราสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปุ๋ยไนโตรเจน เมื่อแอมโมเนียจากปุ๋ยเคมีหรือจากปุ๋ยอินทรีย์ที่เหลือในดินซึ่งมีอากาศถ่ายเทดี บางส่วนจะแปรสภาพเป็นไนเทรต การชะล้างของไอออนนี้สะสมในน้ำใต้ดิน ทำให้มีไนเทรตมากจนมาเหมาะที่จะนำมาบริโภค คือในอเมริกามีมากกว่า 10 มิลลิกรัม/ลิตร และในยุโรปมีมากกว่า 50 มิลลิกรัม/ลิตร ในสภาพที่ดินขาดออกซิเจน ไนเทรตจะถูกรีดิวซ์ให้กลายเป็นแก๊สซึ่งระเหยไปสะสมในอากาศจึงเกิดช่องโหว่รังสีอัลตราไวโอเลตจึงผ่านเข้ามาได้มากกว่าเดิมจึงเป็นสาเหตุให้โลกร้อนกว่าเดิม การตระหนักถึงผลเหล่านี้ ในการใช้ปุ๋ยเคมีในการเกษตร ในกรณีนี้การใช้ปุ๋ยละลายช้ามีความเหมาะสมด้านผลตอบแทนทางเศรษฐกิจในการผลิตพืชชนิดใดชนิดหนึ่ง และเทคโนโลยีทำให้ปุ๋ยละลายช้า ราคาไม่ต่างไปจากปุ๋ยเคมี การใช้ปุ๋ยละลายช้าจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ดีในบางภูมิภาคเพื่อหารผลิตพืชบางชนิด
ลักษณะของปุ๋ยที่ถูกกำหนดมาจากการผลิต
สิ่งที่บ่งบอกถึงประสิทธิผลของปุ๋ย ควรพิจารณาดังนี้
– อิทธิพลของปัจจัยที่สำคัญในระดับวิกฤต (critical factors) ซึ่งมีผลต่อกลไกการปลดปล่อยและรูปแบบของการปลดปล่อยธาตุอาหารจากปุ๋ยละลายช้าแต่ละชนิด
– ในห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ปุ๋ยแต่ละแห่ง ใช้วิธีการทดสอบแตกต่างกัน เช่น อุณหภูมิที่ใช้ในการทดสอบสารเคลือบผิว ใช้ตั้งแต่ 20-60 องศาเซลเซียส และความถี่ในการเก็บข้อมูลก็ต่างกันด้วย
นอกจากนี้อัตราการปลดปล่อยออกไปในน้ำ มีอัตราความแตกต่างจากสภาพที่ปุ๋ยอยู่ในดินหรือวัสดุปลูก มีสาเหตุ 3 ประการ คือ อัตราการปลดปล่อยโดยการแพร่ได้รับผลกระทบเนื่องจากความแปรปรวนของอุณหภูมิและความชื้นในดิน ค่าpH ของดินที่เปลี่ยนแปลงการขับสารอินทรีย์ออกจากรากพืช (root exudation) และสุดท้าย กิจกรรมของจุลินทรีย์ในการย่อยสลายสาร เช่น กำมะถันที่เคลือบปุ๋ย SCU และยูเรียฟอร์ม มีปลต่อการปลดปล่อยธาตุอาหารค่อนข้างมาก






