ปุ๋ยหมัก: สมบัติทางฟิสิกส์และเคมีของปุ๋ยหมัก

สาระน่ารู้ปุ๋ยหมัก

 

สมบัติทางฟิสิกส์ของปุ๋ยหมัก

ได้แก่ ปริมาณความชื้น (moisture content) ความหนาแน่นรวม (bulk density) ความจุในการอุ้มน้ำ (water holding capacity) ขนาดอนุภาค (particle size) และวัสดุที่ไม่สลาย (man – made inert material) ซึ่งมีประสิทธิภาพดังต่อไปนี้

  1. ปริมาณความชื้นของปุ๋ยหมักต่ำกว่าร้อยละ 35 มีความหมาย 2 อย่าง คือ ปุ๋ยยังไม่มีเสถียรภาพเต็มที่ น่าจะสลายต่อไปอีก แต่กิจกรรมดังกล่าวลดลงเนื่องจากความชื้นต่ำเกินไปและถ้าปุ๋ยนี้หมักได้ที่แล้ว แสดงว่ามีการเก็บไว้นานจึงสูญเสียความชื้นบางส่วนไป
  2. ความหนาแน่นรวมของปุ๋ยหมักที่มีความชื้นร้อยละ 35-55 จะมีค่า 415-712 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร สำหรับค่าที่เหมาะสมคือ 475-593 กิโลกรัม/ลูกบาศก์เมตร
  3. ความจุในการอุ้มน้ำ วัดโดยทำให้ปุ๋ยหมักอิ่มตัวด้วยน้ำในบีกเกอร์ขนาด 2 ลิตรแล้วปล่อยให้อิสระระบายออกทางรูพรุนด้านล่างเป็นเวลา 4 ชั่วโมง ได้ค่า 75 – 200% (น้ำหนักแห้ง) สำหรับค่าที่เหมาะสมคือตั้งแต่ 100 % ขึ้นไป
  4. ขนาดอนุภาคใหญ่ (ค้างบนตะแกรงซึ่งมีช่องขนาด 12 มิลลิเมตร) ถ้ามีมาก การหว่านในแปลงจะไม่ค่อยสม่ำเสมอ หากส่วนใหญ่เป็นอนุภาคละเอียด จะไม่ช่วยเพิ่มการระบายน้ำของดินผสมสำหรับการปลูกพืชในกระถาง จึงต้องมีเกณฑ์ ด้านขนาดอนุภาคสำหรับการใช้งานแต่ละประเภท
  5. วัสดุที่ไม่สลาย ได้แก่ เศษแก้ว พลาสติก ยางและโลหะ มักมีในปุ๋ยหมักจากขยะในชุมชน ควรกำจัดออกไป เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการใช้

 

ปุ๋ยหมัก-สมบัติทางฟิสิกส์และเคมี3

สมบัติทางเคมีของปุ๋ยหมัก

ได้แก่ ปริมาณอินทรีย์คาร์บอนทั้งหมด (total organic carbon) สารระเหย (volatile solid หรือ volatile organics) ความจุในการแลกเปลี่ยนแคตไอออน (cation exchange capacity) ไนโตรเจนทั้งหมด (total nitrogen) ไนโตรเจนอนินทรีย์ (inorganic nitrogen) ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แคลเซียม แมกนีเซียมและจุลธาตุ pH และการนำไฟฟ้า ( electrical conductivity)

การประเมินความได้ที่ (maturity) และเสถียรภาพ (stability) ของปุ๋ยหมัก

ความได้ที่ของปุ๋ยหมัก หมายถึงสภาพของปุ๋ยซึ่งเหมาะสำหรับการใช้ปุ๋ยหมักซึ่งได้ที่แล้ว (mature compost) จะมีสารที่เป็นพิษต่อพืช (phytoxic compounds) น้อย สารดังกล่าวได้แก่ แอมโมเนียและกรดอินทรีย์โซ่สั้น (short – chain organic acids) ส่วนเสถียรภาพของปุ๋ยหมัก หมายถึงความคงทนของอินทรียสารในปุ๋ยต่อการสลายตัว เมื่อนำไปผสมในวัสดุปลูกพืชจะไม่ยุบตัว หากบรรจุถุงอุณหภูมิของปุ๋ยก็จะไม่สูงขึ้น การประเมินความได้ที่ของปุ๋ยหมักมีวัตถุประสงค์ 3 ประการ คือ เพื่อให้ทราบว่ากระบวนการหมักสิ้นสุดลงแล้ว หากปรับปรุงกระบวนการเพื่อให้เวลาหมักสั้นลง ทำให้ผลิตได้มากขึ้นและลดค่าใช้จ่ายลง ความที่เป็นเกณฑ์สำคัญที่ผู้ซื้อรายใหญ่กำหนดลักษณะปุ๋ยที่พึงประสงค์จึงต้องแสดงข้อมูลที่เชื่อถือได้ว่าปุ๋ยที่ผลิตนั้นได้ที่แล้ว และในปัจจุบันปุ๋ยหมักทั่วไปมีความสนใจคุณภาพของปุ๋ยมากขึ้นและปุ๋ยหมักที่ได้ที่แล้วเป็นที่ต้องการของตลาด วิธีการประเมินความได้ที่ของปุ๋นหมักมี 4 วิธี คือ การใช้ประสาทสัมผัส (sensory method) วิเคราะห์ทางเคมี การวัดเสถียรภาพ และสารที่เป็นพิษต่อพืช

ปุ๋ยหมัก-สมบัติทางฟิสิกส์และเคมี5

ของแข็งที่ระเหยได้ (volatile solids) หรืออินทรียสารที่ระเหยได้ (volatile organics) หรือสิ่งที่หายไปจากการเผา (loss – on – ignition) คือน้ำหนักของปุ๋ยหมักที่หายไป เมื่อนำปุ๋ยหมักแห้งมาเผาที่อุณหภูมิ 550 องศาเซลเซียส สิ่งที่เหลือจากการเผาคือเถ้า โดยปกติปุ๋ยหมักมีของแข็งที่ระเหยได้ประมาณร้อยละ 50 ในการกำหนดมาตรฐานของปุ๋ยอินทรีย์ในประเทศไทยเรียกค่านี้ว่า “ ปริมาณอินทรียวัตถุ “ เสถียรภาพของปุ๋ยหมัก เป็นตัวชี้วัดที่ดีอย่างหนึ่งสำหรับความได้ที่ของปุ๋ยหมัก เสถียรภาพของปุ๋ยหมักวัดได้จากอัตราการหายใจและการเกิดความร้อนระหว่างการเก็บ ดังนี้

  1. อัตราการหายใจซึ่งวัดได้จากการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ดังนี้ <2 มีเสถียรภาพสูง, 2-8 มีเสถียรภาพ, 8-15 ไม่ค่อยมีเสถียรภาพ และ 15-40 ไม่มีเสถียรภาพ
  2. การเกิดความร้อนระหว่างการเก็บ 2-9 วัน วัดจากอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นสูงกว่าอากาศโดยรอบ ดังนี้ 0-20 องศาเซลเซียส มีเสถียรภาพเนื่องจากมีกิจกรรมการสลายตัวต่ำ, 20-40 องศาเซลเซียส ไม่มีเสถียรภาพ เนื่องจากกิจกรรมการสลายตัวสูงและมากกว่า 40 องศาเซลเซียส ยังอยู่ในขั้นตอนการหมัก

ปุ๋ยหมัก-สมบัติทางฟิสิกส์และเคมี4

มาตรฐานปุ๋ยอินทรีย์ของประเทศไทย

กรมวิชาการเกษตรได้กำหนดมาตรฐานของปุ๋ยอินทรีย์เมื่อ พ.ศ.2548 ดังนี้

–          ขนาดของปุ๋ย ไม่เกิน 12.5 x 12.5 มิลลิเมตร

–          ปริมาณความชื้นและสิ่งที่ระเหยได้ ไม่เกิน 35 %

–          ปริมาณหินและกรวด ขนาดใหญ่กว่า 5 มิลลิเมตร ไม่เกิน 5%

–          พลาสติก แก้ว วัสดุมีคมและโลหะอื่นๆ ต้องไม่มีเจือปนในปุ๋ยหมัก

–          ปริมาณอินทรียวัตถุ ไม่น้อยกว่า 30 % โดยน้ำหนัก

–          ค่าpH 5.5-8.5

–          อัตราส่วนคาร์บอนต่อไนโตรเจน (C:N) ไม่เกิน 20:1

–          การนำไฟฟ้า ไม่เกิน 6 เดซิซีเม็น/เมตร

–          ปริมาณธาตุอาหารหลัก (% โดยน้ำหนัก) ไนโตรเจน ไม่น้อยกว่า 1.0% ฟอสฟอรัส ไม่น้อยกว่า 0.5 % โพแทสเซียม ไม่น้อยกว่า 0.5 %

–          การย่อยสลายที่สมบูรณ์ มากกว่า 80%

–          สารหนู (arsenic) ไม่เกิน 50 มิลลิกรัม/กิโลกรัม

–          แคดเมียม (cadmium) ไม่เกิน 5 มิลลิกรัม/กิโลกรัม

–          โครเมียม (chromium) ไม่เกิน 300 มิลลิกรัม/กิโลกรัม

–          ทองแดง (copper) ไม่เกิน 500 มิลลิกรัม/กิโลกรัม

–          ตะกั่ว (lead) ไม่เกิน 500 มิลลิกรัม/กิโลกรัม

–          ปรอท (mercury) ไม่เกิน 2 มิลลิกรัม/กิโลกรัม

 

ปุ๋ยหมัก-สมบัติทางฟิสิกส์และเคมี2

มาตรฐานฉลากและบรรจุภัณฑ์ของปุ๋ยอินทรีย์

กรมวาการเกษตรได้กำหนดมาตรฐานฉลากและบรรจุภัณฑ์ของปุ๋ยอินทรีย์ เมื่อ พ.ศ.2548 โดยให้ผู้ผลิตระบุรายละเอียดบนภาชนะบรรจุ ดังนี้ ชื่อการค้าและเครื่องหมายการค้า ชนิดของผลิตภัณฑ์ ปริมาณบรรจุเป็นน้ำหนักโดยสุทธิ (ในระบบเมตริก) ชื่อผู้ผลิตและสถานที่ผลิต ระบุวัสดุที่ใช้ผลิตและอัตราส่วนที่ใช้ ระบุวันที่ผลิตและวันที่หมดอายุ ระบุวิธีใช้ การเก็บรักษาและข้อควรระวัง

 

ปุ๋ยหมัก-สมบัติทางฟิสิกส์และเคมี1

คุณภาพของปุ๋ยหมัก

คุณภาพของปุ๋ยหมักโดยทั่วไปมีการวัดผลจากการตอบสนองด้านการเจริญเติบโตของพืช มีความสำคัญมากกว่าคุณภาพด้านอื่นๆ ส่วนปริมาณธาตุอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเป็นประโยชน์ของไนโตรเจนและธาตุอื่นๆ มีความสำคัญกับพืชไร่และพืชสวนโดยทั่วไป สำหรับสมบัติของปุ๋ยหมักในเรื่อง pH และการนำไฟฟ้าจะได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ เมื่อใช้ในอัตราสูงเพื่อเตรียมดินผสมสำหรับพืชกระถาง รวมทั้งถุงที่บรรจุเพื่อจำหน่ายให้ประชาชนทั่วไป สำหรับผลิตภัณฑ์ปุ๋ยหมักที่ได้รับความนิยมตามท้องตลาดนั้น เป็นปุ๋ยหมักที่มีการหมักได้ที่แล้ว มีสีดำและมีกลิ่นเหมือนดิน ไม่มีเชื้อโรคที่เป็นภัยต่อสุขภาพ

 

ในบทความถัดไป เราจะมาทำความเข้าใจผลของการใช้ปุ๋ยหมักกันค่ะ

 

ปุ๋ยหมัก: สมบัติทางฟิสิกส์และเคมีของปุ๋ยหมัก

ปุ๋ยหมัก: สมบัติทางฟิสิกส์และเคมี

ปุ๋ยหมัก: สมบัติทางฟิสิกส์และเคมี